Page 102 - 23154_Fulltext
P. 102

97


               สังเกตได้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้เริ่มต้นด้วยความพยายามในการสร้างความรับรู้ต่อความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่

               พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้สร้างความเจริญให้สังคมการเมืองไทยและพระราชทานรัฐธรรมนูญให้เพื่อความก้าวหน้า
               และในทางกลับกัน ความส าคัญของการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ของคณะราษฎรจึงมีความส าคัญลดลงจากความ
               รับรู้ดังกล่าวที่พระมหากษัตริย์เป็นผู้พระราชทนลงมาจากเบื้องบน

                       ในบททั่วไป รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ได้ก าหนดแหล่งที่มาของอ านาจทางการเมือง
               ไว้แตกต่างจากฉบับก่อนหน้าอย่างชัดเจน จากเดิมที่พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว

               พ.ศ. 2475 มาตรา 1 อ านาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลาย และในมาตรา 2 ผู้ใช้อ านาจแทนราษฎร
               ตามรัฐธรรมนูญประกอบด้วย กษัตริย์ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎร และศาล ซึ่งนัยส าคัญจากทั้งสอง

               มาตราก็คือ การสถาปนาอ านาจสูงสุดให้ “เป็นของประชาชน” ทั้งในแง่ของที่มาและการใช้อ านาจของประชาชน
               ผ่านตัวแทนเชิงสถาบันทั้ง 4 ในข้างต้น ทว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการบัญญัติใหม่ในรัฐธรรมนูญแห่ง

               ราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 กลับเป็นการจัดความสัมพันธ์เชิงอ านาจของสังคมการเมืองไทยเสียใหม่ โดยล าดับ
               ใหม่พระมหากษัตริย์เป็นฝ่ายพระราชทานรัฐธรรมนูญ และตามมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม
               พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขทรงใช้อ านาจโดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เนื่องจากทรงได้รับอ านาจอธิปไตย

               จากปวงชนชาวสยาม ในขณะที่มาตรา 1 ถูกยกให้เป็นมาตราว่าด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสยาม
               ประเทศอันแบ่งแยกมิได้ เพื่อให้ความส าคัญของรัฐมาแทนที่ความส าคัญของประชาราษฎรชาวสยามซึ่งมี

               ความส าคัญในฐานะของตัวแสดงทางการเมืองส าคัญผู้เป็นแหล่งที่มาของอ านาจสูงสุดในรัฐธรรมนูญของ
               คณะราษฎร นอกจากนั้นแล้วหากพิจารณาจากหมวดที่ 1 ยังสังเกตได้ว่า พระมหากษัตริย์ได้รับการยกให้เป็นที่

               สักการะละเมิดมิได้ตามมาตรา 3 และยังทรงเป็นทั้งผู้ใช้อ านาจอธิปไตย ควบคู่กับต าแหน่งจอมทัพสยาม ต่างจากที่
               เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ก าหนดไว้เพียงอ านาจที่ใช้ในนามกษัตริย์ (มาตรา 3 ตามรัฐธรรมนูญ

               ฉบับเดิม) ในที่นี้จึงเป็นข้อถกเถียงได้ว่าเป็นการยกฐานะของพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือการเมืองอย่างที่บัญญัติใน
               มาตรา 11 ว่าด้วยความอยู่เหนือการเมืองของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป หรือเป็นขยายพื้นที่ของความ
               เป็นการเมืองให้แก่พระมหากษัตริย์ไม่จะทั้งในฐานะของผู้ครองอ านาจอธิปไตยหรือการเป็นประมุข (อ านาจ

               การเมือง) ควบคู่กับจอมทัพสยาม (อ านาจกองทัพ) ไปพร้อมกัน รวมถึงพื้นที่ความเป็นการเมืองในศาสนาจากฐานะ
               อัครศาสนูปถัมภกเช่นกัน

                       ในด้านความสัมพันธ์เชิงอ านาจของระบบรัฐสภาที่เปลี่ยนแปลงไปในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม
               พ.ศ. 2475 โดยหลักสามารถสังเกตได้ 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก เป็นอ านาจยุบสภาโดยพระมหากษัตริย์ตาม

               มาตรา 35 ที่บัญญัติว่า
                              “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอ านาจที่จะยุบสภา เพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกมาใหม่ ในพระราช

                       กฤษฎีกาให้ยุบสภาเช่นนี้ ต้องมีก าหนดให้เลือกตั้งสมาชิกใหม่ภายใน 90 วัน”


                       นอกจากนั้นประการที่สอง ประเด็นของบทบาทนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 38
               ก าหนดให้สภาผู้แทนราษฎรน าร่างพระราชบัญญัติให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ทูลเกล้าถวายเพื่อให้พระมหากษัตริย์ลง

               พระปรมาภิไธย จึงจะสามารถบังคับใช้เป็นกฎหมายหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม
   97   98   99   100   101   102   103   104   105   106   107