Page 105 - 23154_Fulltext
P. 105
100
ผ่านข้อถกเถียงในการประชุมสภาเมื่อ 1 เมษายน 2476 ที่รัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ออกพระราช
กฤษฎีกาของดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเป็นการชั่วคราว โดยวัตถุประสงค์เพื่อยับยั้งร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ
และร่างพระราชบัญญัติประกอบเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมที่เข้าสู่การพิจารณาของสภา
ผู้แทนราษฎรและเป็นการปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรลง อันเป็นผลต่อเนื่องสู่การที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้อ านาจ
นิติบัญญัติตามค าแนะน าของนายกรัฐมนตรี และได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 ซึ่ง
สัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่เค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมถูกวิจารณ์ผ่านพระบรมราชวินิจฉัยของพระ
บามสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกับการที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมลาออกจากต าแหน่งทางการเมืองและยัง
ถูกขอร้องให้ไปดูงานที่ต่างประเทศ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา
ออกแถลงการณ์ยึดอ านาจอันมีเหตุจากการกระท าไม่สอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ ปิดสภาผู้แทนราษฎร และงดใช้
รัฐธรรมนูญบางมาตราดังอธิบายไว้ข้างต้นของพระยามโนปกรณ์ฯ ความขัดแย้งครั้งนี้จึงเป็นการที่ทหารฝ่ายที่
สนับสนุนคณะราษฎรท าการตอบโต้รัฐประหารของพระยามโนฯ (บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, 2563: 42-43)
หลังจากเหตุการณ์ยึดอ านาจของพระยาพหลฯ ความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์ของระบอบเก่ากับระบอบ
รัฐธรรมนูญได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งผ่านเหตุการณ์กบฏบวรเดช ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีประเด็นที่น่าสนใจอย่าง
น้อย 2 ประการ ได้แก่ ประการแรก เมื่อพยายามพิจารณารัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมของสังคมการเมืองไทยแล้ว
นอกจากกระแสของความคิดเชิงอุดมการณ์ของกลุ่มคณะกู้บ้านกู้เมืองที่ยื่นข้อเสนอ 6 ประการเพื่อต่อสู้ทาง
การเมืองกับคณะราษฎรโดยตรง นอกจากนั้นยังสังเกตได้ว่าประชาชนสยามยังมีความคิดคล้อยตามไปกับระบอบ
รัฐธรรมนูญที่คณะราษฎรได้สถาปนาขึ้น และยังเห็นด้วยที่จะร่วมพิทักษ์รัฐธรรมนูญแห่งระบอบใหม่ด้วยการร่วม
ต่อสู้ปราบกบฏบวรเดชและแจ้งข่าวสารต่อรัฐบาล จนในที่สุดแล้วกบฏบวรเดชเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่เพียงแต่เพราะ
ฝ่ายรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี หากแต่ยังเพราะได้รับความร่วมมือจากประชาชนที่มีอุดมการณ์
สนับสนุนแนวคิดของคณะราษฎร นอกจากนั้น ประการที่สอง หลังความพ่ายแพ้ของกบฏบวรเดช ส่งผลให้ระบบ
รัฐสภาสามารถกลับมาท าหน้าที่ได้ตามปกติ ซึ่งน ามาสู่การพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ และการเปิดทางให้
นายปรีดีกลับคืนสู่การเมืองอีกครั้ง ประกอบกับการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึง
น ามาสู่การเชิญพระองค์เจ้าอานันทมหิดลมาเป็นกษัตริย์ และเกิดเสถียรภาพทางการเมืองชั่วคราวของรัฐบาลของ
พระยาพหลฯ แล้วจึงได้เปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลสมัยของพันเอก หลวงพิบูลสงคราม ซึ่งมีทั้งความพยายามขัดเกลาทาง
สังคมให้พลเมืองตระหนักในความเป็นชาติไทยผ่านการประกาศรัฐนิยม 7 ฉบับ ดังเช่นฉบับที่ 1 ที่บัญญัติใหม่ให้
เรียกว่าประเทศ ประชาชน และสัญชาติว่า ไทย รวมถึงสร้างเสถียรภาพในอ านาจการเมืองของผู้แทนราษฎร
ประเภทที่สองให้ขยายถึง พ.ศ. 2495 (บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, 2563: 48, 52-53) แล้วจึงเพิ่มต่อมาเป็น 12 ฉบับ
หลังจากผ่านห้วงเวลาสงครามโลกครั้งที่สอง การลาออกของจอมพ ป. พิบูลสงครามจึงน ามาสู่การที่สภา
ผู้แทนราษฎรเสนอชื่อให้นายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไป
ในยุครัฐบาลนายควง จะสังเกตได้ว่า เป็นความพยายามที่จะก าหนดความสัมพันธ์เชิงอ านาจของสถาบัน
การเมืองให้เป็นการคานอ านาจไม่ให้เกิดการใช้อ านาจดังในสมัยรัฐบาลของจอมพล ป. เห็นได้จากการที่แก้ไข
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 และบทเฉพาะกาล ด้วยเหตุนี้จึงน ามาสู่การที่รัฐบาลเสนอให้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ
พิจารณาการร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 27 คน ให้เป็นญัตติด่วน (บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, 2563: 62) ซึ่งคณะกรรมาธิการ