Page 104 - 23154_Fulltext
P. 104

99


               ข้าราชการอาวุโส มาร่วมออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นสถาบันการเมืองอย่างเป็นทางการ เมื่อเป็นเช่นนั้น

               แล้ว แม้ว่ากระแสของสังคมจะเห็นพ้องที่จะเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตาม ภายในระบบรัฐสภา
               ของห้วงเวลาหลังจากการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 นั้นเป็นบรรยากาศของความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง
               สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นกลุ่มข้าราชการรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ขณะที่

               สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นกลุ่มข้าราชการอาวุโสมีแนวโน้มต้องการรักษาประเพณืระบอบเก่าไว้ ส่งผลให้
               สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายคณะราษฎรพยายามออกแบบกฎหมายใหม่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติเพื่อ

               เปลี่ยนแปลงเอาอ านาจจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาให้แก่ข้าราชการรุ่นใหม่ ดังนั้นระบบรัฐสภาจึงเป็นพื้นที่ส าคัญใน
               การสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเพื่อประนีประนอมทางการเมือง ภายใต้ความไม่ลงรอยระหว่างอุดมการณ์

               เปลี่ยนแปลงสู่ระบอบรัฐธรรมนูญกับการรักษาประเพณีที่ยังคงด าเนินต่อไป
                       ในส่วนของตัวบทรัฐธรรมนูญ ความสัมพันธ์เชิงอ านาจของระบบรัฐสภาที่ก าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่ง

               ราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ถือได้ว่าเป็นผลของการประนีประนอมทางการเมืองที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมสามารถ
               ขยายพื้นที่อ านาจความเป็นการเมืองของสถาบันกษัตริย์กลับเข้ามาในสถาบันการเมือง ดังสังเกตได้จากค าปรารภ
               ของรัฐธรรมนูญที่เป็นการประกาศบทบาทของพระมหากษัตริย์ในการพระราชทานรัฐธรรมนูญเพื่อการวิวัฒน์

               บ้านเมือง และมาตรา 2 ที่ถือว่าอ านาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวสยาม และมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อ านาจ
               อธิปไตยดังกล่าวตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ  อีกทั้งยังมีมาตราว่าด้วยต าแหน่งจอมทัพของพระมหากษัตริย์ควบคู่

               กับอ านาจในฐานะผู้ใช้อ านาจอธิปไตยผ่านสถาบันการเมือง ซึ่งเกิดเป็นข้อถกเถียงต่อการขัดต่อมาตรา 11 ว่าด้วย
               ความอยู่เหนือการเมือง ทว่ายังทรงครองอ านาจในทางการเมืองและความมั่นคงของชาติ นอกจากนั้นเมื่อสังเกต

               ความสัมพันธ์เชิงอ านาจของระบบรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ยังสังเกตได้ว่า
               พระมหากษัตริย์เข้ามามีบทบาทสัมพันธ์ทางอ านาจในการต่อรองกับระบบรัฐสภามากกว่าในรัฐธรรมนูญฉบับ

               ชั่วคราว ดังมาตรา 35 ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอ านาจยุบสภา และมาตรา 38 ที่ให้พระราชอ านาจแสดง
               ความคิดเห็นแย้งร่างกฎหมาย ซึ่งในแง่นี้สามารถมองว่าเป็นการประนีประนอมด้วยการคืนพระราชอ านาจบางส่วน
               ให้เกิดความเป็นการเมืองในการต่อรองภายในสัมพันธภาพที่สถาบันกษัตริย์สัมพันธ์ต่อสภาผู้แทนราษฎร หรือจะ

               ถกเถียงว่าเป็นเงื่อนไขทั่วไปของรัฐที่ใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญก็ได้
               เช่นกัน ทว่าหากมองในแง่นี้ก็จ าเป็นต้องถกเถียงในเรื่องความเป็นประชาธิปไตยและความอยู่เหนือการเมืองของ

               กษัตริย์จากการตัดสินพระทัยให้สอดคล้องกับราชประเพณีหรือธรรมเนียมทางการเมืองเช่นกัน
               เนื้อหาช่วง 4.1-4.2 รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2475 ถึงรัฐธรรมนูญ 2475 ให้เพิ่มงานของทิพวรรณ เจียมธีรสกุล

                       4.3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489

                       บริบททางการเมือง


                       การเมืองไทยหลังจากการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และการออกแบบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม
               พ.ศ. 2475 การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยให้เป็นระบอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นไปอย่างมีอุปสรรค เนื่องจากยังคงมี

               ความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ระหว่างกลุ่มคณะราษฎรที่ต้องการสถาปนาระบอบรัฐธรรมนูญให้ตั้งมั่น กับกลุ่มเจ้านาย
               ที่ยังคงแสวงหาอ านาจและค่านิยมแบบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวได้เริ่มปรากฎออกมา
   99   100   101   102   103   104   105   106   107   108   109