Page 103 - 23154_Fulltext
P. 103

98


               บัญญัติของมาตรา 39 ได้ก าหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอ านาจแสดงความคิดเห็นแย้งต่อร่างกฎหมายได้

               โดยมีเงื่อนไขว่า
                              “ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยร่างพระราชบัญญัตินั้น จะได้พระราชทานคืนมายังสภา
                       ภายในหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีทูลเกล้า ฯ ถวายก็ดี หรือมิได้พระราชทานคืนมายังสภา

                       ภายในหนึ่งเดือนนั้นก็ดี สภาจะต้องปรึกษากันใหม่และออกเสียงลงคะแนนลับโดยวิธีเรียกชื่อ ถ้าและสภา
                       ลงมติตามเดิมไซร้ ท่านให้น าพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้

                       ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานลงมาภายในสิบห้าวันแล้ว ท่านให้ประกาศพระราชบัญญัตินั้นใช้บังคับ
                       เป็นกฎหมายได้”

                       ซึ่งก็สามารถมองได้ในมุมที่แตกต่างกันระหว่างมุมสอดคล้องกับประการแรกในลักษณะที่ว่าเป็นการขยาย
               ขอบเขตของพระราชอ านาจให้ครองความได้เปรียบในความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่มีต่อระบบรัฐสภาผ่านอ านาจการ

               โต้อ านาจการผ่านร่างพระราชบัญญัติให้สามารถผ่านได้ยากหรือต้องใช้ระยะเวลาในการผ่านร่างกฎหมายนาน
               ยิ่งขึ้น แต่ในทางกลับกันก็สามารถมองได้ว่า เป็นเรื่องธรรมดาของระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้

               รัฐธรรมนูญที่จะมีบทบัญญัติว่าด้วยการใช้อ านาจไม่เห็นชอบร่างกฎหมาย ตัวอย่างเช่น กรณีของสหราชอาณาจักร
               ที่สมเด็จพระราชินีทรงไว้ซึ่งอ านาจในการแสดงความไม่เห็นชอบต่อร่างกฎหมาย แต่โดยประเพณีแล้วไม่นิยมปฏิบัติ

               เช่นนั้น สังเกตได้จากการใช้พระราชอ านาจไม่เห็นด้วยกับกฎหมายครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1708 จากการที่
               สมเด็จพระนางเจ้าแอนน์ทรงแสดงความไม่เห็นชอบต่อร่างกฎหมาย Scottish Militia Bill (ปวริศร เลิศธรรมเทวี,
               2561) ซึ่งจากกรณีดังกล่าวก็เป็นการสะท้อนถึงธรรมเนียมปฏิบัติของพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

               ที่กษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่แม้จะมีอ านาจแสดงความเห็นแย้งต่อร่างกฎหมาย แต่พระมหากษัตริย์ก็ไม่
               จ าเป็นต้องใช้อ านาจดังกล่าวเสมอไป

                       ประการที่สาม เมื่อพิจารณาจากบทสุดท้ายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 แม้ว่าจะ
               สังเกตได้ถึงความพยายามในการแบ่งแยกอ านาจออกเป็นนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ทว่าค าถามที่ตามมาคือ แล้ว

               ใครจะท าหน้าที่ตีความรัฐธรรมนูญ จึงน ามาสู่การก าหนดอ านาจตีความตามมาตรา 62 บัญญัติว่า “ท่านว่าสภา
               ผู้แทนราษฎรเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งสิทธิเด็ดขาดในการตีความรัฐธรรมนูญนี้” ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงเป็นการก าหนด

               ความสัมพันธ์เชิงอ านาจให้สภาผู้แทนราษฎรมีอ านาจในการตีความรัฐธรรมนูญ รวมถึงอ านาจตามมาตรา 63 ใน
               การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยเป็นการเสนอจากรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจ านวนไม่ต่ ากว่า 1 ใน 4
               ของสมาชิกทั้งหมด ซึ่งความสัมพันธ์เชิงอ านาจในลักษณะนี้สะท้อนความส าคัญของสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับ

               ความชอบธรรมในฐานะตัวแทนของประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง


                       สรุป
                       รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการประนีประนอม

               ของคณะราษฎรกับกลุ่มชนชั้นน าของระบอบเก่า โดยดึงเอาตัวแทนทั้งจากสมาชิกของคณะราษฎร ข้าราชการสาย
               ทหารและพลเรือน หรือพ่อค้าชนชั้นกลาง มาประนีประนอมกับตัวแทนของกลุ่มเจ้านาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
   98   99   100   101   102   103   104   105   106   107   108