Page 81 - 23154_Fulltext
P. 81

76


                          คานอ านาจพรรค AL จึงเกิดเป็นพรรค BNP และรัฐสภาก็ถูกใช้เป็นพื้นที่ผลักดันการเมืองอัตลักษณ์ให้

                          บังกลาเทศกลายเป็นรัฐอิสลามอย่างชอบธรรมโดยรัฐธรรมนูญ
                       3)  นับตั้งแต่ ค.ศ. 1991 เป็นต้นมา เป็นการเปลี่ยนผ่านกลับสู่ประชาธิปไตยที่หันกลับมาสร้างความตั้ง
                          มั่นให้ระบบรัฐสภา แม้ว่าระบบรัฐสภาจะมีการแข่งขันระหว่าง AL และ BNP ตามระบอบ

                          ประชาธิปไตย แต่อย่างไรก็ตามโครงสร้างสถาบันการเมืองเหล่านั้นกลับไม่มีความเป็นประชาธิปไตย
                          เพียงพอ ไม่ว่าจะระบบรัฐสภาที่พึ่งพิงการต่อรองกับพรรคการเมืองขนาดกลาง หรือการที่ฝ่ายค้านใช้

                          แนวทางต่อรองด้วยการเมือง นอกสภามากกว่าที่จะใช้ระบบรัฐสภาหรือระบบคณะกรรมาธิการใน
                          การประนีประนอมทางการเมือง


                       โครงสร้างและอ านาจหน้าที่ของรัฐสภา: มิติความสัมพันธ์เชิงอ านาจ

                       รัฐธรรมนูญบังกลาเทศ ค.ศ. 1972 (แก้ไขเพิ่มเติม ค.ศ. 2014) มีความส าคัญไม่เพียงแต่เพียงเป็นกลไกเชิง

               สถาบันที่ก าหนดขอบเขตของอ านาจและเสรีภาพของประชาชน และสถาบันการเมืองทั้งปวงอันรับรองความชอบ
               ธรรมในการก่อตั้งและให้อ านาจจากรัฐธรรมนูญ ในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญบังกลาเทศแล้วยังพบว่า รัฐธรรมนูญ
               บังกลาเทศให้ความส าคัญกับแนวคิดเรื่องความเป็นชาตินิยมบังกลาเทศอันยึดโยงกับวันประกาศเอกราชของ

               บังกลาเทศ รวมถึงบัญญัติความเป็นชาตินิยมควบคู่กับประชาธิปไตย สังคมนิยม ความเป็นรัฐฆราวาส ตลอดจนการ
               เสียสละเพื่อรักษาชาติไว้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของระบบรัฐสภาของเป็นแบบสภาเดี่ยว การศึกษาความสัมพันธ์เชิง

               อ านาจที่มีรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันการเมืองในการก าหนดขอบเขตอ านาจและหน้าที่ในที่นี้ จึงเป็นการศึกษาเน้นที่
               ขอบเขตอ านาจและหน้าที่ของรัฐสภาและความสัมพันธ์ที่มีต่อประธานาธิบดี

                       ประธานาธิบดีบังกลาเทศนั้น เมื่อพิจารณาจากขอบเขตอ านาจและหน้าที่ก าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว
               สังเกตได้ว่า อ านาจของประธานาธิบดีบังกลาเทศค่อนข้างจ ากัดแม้ว่าจะมีฐานะเป็นประมุขแห่งรัฐ อีกทั้งยังถูก

               ผูกมัดโดยรัฐสภาอย่างมีนัยส าคัญ ตั้งแต่ในส่วนของที่มาของต าแหน่งอันมาจากการเลือกตั้งของสมาชิกรัฐสภาตาม
               มาตรา 48 (1) หรือตามมาตรา 48 (3) ซึ่งก าหนดให้การใช้อ านาจของประธานาธิบดีสอดคล้องไปกับค าแนะน าจาก
               นายกรัฐมนตรีเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 55 (2) ที่ก าหนดว่าอ านาจบริหารเป็นของนายกรัฐมนตรี ในขณะที่

               การกระท าทางบริหารจะถูกประกาศบังคับใช้โดยประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีมีอ านาจในการ
               แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวมชุดละ 9-10 คน จากสมาชิกรัฐสภา และในจ านวนดังกล่าวประธานาธิบดี

               สามารถเลือกรัฐมนตรีจากผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาได้จ านวนไม่เกิน 1 คน ส่วนวาระการด ารงต าแหน่ง
               ของประธานาธิบดีบังกลาเทศเป็นไปตามมาตรา 50 อยู่ที่วาระคราวละ 5 ปี ไม่เกิน 2 วาระ โดยประธานาธิบดี

               สามารถถูกถอดถอนได้ตามมาตรา 52 ว่าด้วยการที่สมาชิกรัฐสภาเสียงข้างมากยื่นขอถอดถอนประธานาธิบดีต่อ
               โฆษกรัฐสภาในข้อหากระท าการขัดต่อรัฐธรรมนูญ หากกระบวนการพิจารณาความผิดโดยศาลถึงที่สิ้นสุดแล้ว ทาง

               รัฐสภามีหน้าที่ลงมติเพื่อตัดสินใจถอดถอนหรือไม่ถอดถอนประธานาธิบดีออกจากต าแหน่ง โดยเสียงที่จะถอดถอน
               ประธานาธิบดีจ าเป็นต้องมีเสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภาขึ้นไป ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีเองก็คงไว้ซึ่งอ านาจในการ
               ยุบสภาตามมาตรา 72 (1)
   76   77   78   79   80   81   82   83   84   85   86