Page 77 - 23154_Fulltext
P. 77
72
ให้อัตลักษณ์กลุ่มน้อยได้รับผลประโยชน์แบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลน าโดยพรรค BN ที่เป็น
พรรคการเมืองอุดมการณ์ชาตินิยมได้ครองอ านาจเสียงข้างมากกว่า 2 ใน 3 ของสภามาโดยตลอด ส่งผลให้
ประชาธิปไตยของมาเลเซียพัฒนาไปอย่างจ ากัด
สภาผู้แทนราษฎรของมาเลเซียนั้น การท างานของระบบสภาคู่จะเป็นการท างานร่วมกันในด้านนิติบัญญัติ
เพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายที่อีกสภาเป็นผู้ริเริ่ม เว้นแต่จะเป็นร่างกฎหมายการเงินที่มีความยืดหยุ่นในการผ่านและ
ประกาศใช้กฎหมายมากกว่าร่างกฎหมายประเด็นอื่น อย่างไรก็ตาม การท างานของระบบรัฐสภาจะถูกครอบง าโดย
พรรครัฐบาลเสียงข้างมาก ท าให้พรรคฝ่ายค้านต้องแสวงหาแนวทางในการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองแก่
กลุ่มอัตลักษณ์พหุนิยมที่เป็นคนส่วนน้อยของสังคม ไม่ว่าจะเป็นวิธีตั้งกระทู้ถาม หรือเลื่อนประชุมเพื่ออภิปราย
ญัตติเร่งด่วนที่ประชาชนเรียกร้องมา แม้ว่าผลลัพธ์ค่อนข้างเป็นไปอย่างจ ากัดด้วยอ านาจน าของพรรครัฐบาลที่
ครองเสียงข้างมากในสภามาเสมอ ขณะที่วุฒิสภาแม้จะเป็นตัวแทนของมลรัฐตามหลักการสหพันธรัฐ รวมถึงเป็นตัว
แทนที่กษัตริย์แต่งตั้งได้ แต่อ านาจของวุฒิสภาก็เป็นไปอย่างจ ากัด แม้จะสามารถริเริ่มเสนอร่างกฎหมายได้
หลากหลายยกเว้นร่างกฎหมายการเงิน แต่วุฒิสภาก็มีอ านาจเพียงตรวจสอบร่างกฎหมายและส่งกลับคืนสภา
ผู้แทนราษฎรเท่านั้น ดั้งนั้นแล้วพัฒนาการและโครงสร้างของระบบรัฐสภามาเลเซียจึงสะท้อนได้เป็นอย่างดีถึง
ข้อจ ากัดที่ท าให้มาเลเซียถูกจัดประเภทในกลุ่มประชาธิปไตยบกพร่อง
ประเทศระบอบผสม
3.8 บังกลาเทศ
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ก่อนหน้าที่บังกลาเทศจะได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1971 ตัวแสดงหนึ่งที่มีความส าคัญต่อการเมืองของ
บังกลาเทศก็คือ พรรคสันนิบาตอวามี (Awami League: AL) ซึ่งอธิบายโดยสรุปได้ว่า พรรค AL เป็นกลุ่มที่เคย
ครองความชอบธรรมในฐานะแหล่งที่มาของอ านาจทางการเมืองของบังกลาเทศมาตั้งแต่ราว ค.ศ. 1950s
โดยเฉพาะช่วงที่อยู่ภายใต้การน าของผู้น ามีบารมีทางบุคลิกภาพอย่าง Sheikh Mujibur Rahman หรือเรียกโดย
ย่อว่า Mujib (Kochanek, 2000) อย่างไรก็ตาม การเมืองของบังกลาเทศก่อนได้รับเอกราชนั้นประสบความผัน
ผวนทางการเมืองจากเหตุรัฐประหารยึดอ านาจใน ค.ศ. 1958 เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างปากีสถานกับกลุ่ม AL
และผู้สนับสนุน จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1971 หลังจากนั้นความนิยมทางการเมืองที่ประชาชนมีต่อ
พรรค AL ก็ยังคงมีอยู่หลังเปลี่ยนผ่านทางการเมืองหลัง ค.ศ. 1971 โดยหลังจากการประกาศเอกราชของ
บังกลาเทศใน ค.ศ. 1971 พัฒนาการโดยกระชับของระบบรัฐสภาของบังกลาเทศออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรก
ระบบรัฐสภาหลัง ค.ศ. 1971 ได้รับอิทธิพลมาจากระบบเวสต์มินสเตอร์ในการออกแบบระบบรัฐสภา ก่อนที่ในช่วง
ที่สอง ระบอบเผด็จการจะเข้ามาแทนที่จนเกิดเป็นระบบเผด็จการพรรคเดียวอิงตัวบุคคล หลังจากนั้นกระแส
ต่อต้านของประชาชนที่มีต่อเผด็จการ Hussein Muhammad Ershad ในปี ค.ศ. 1990 จนหลังจากการเลือกตั้ง
ค.ศ. 1991 น ามาสู่ช่วงที่สาม จึงมีความเป็นระบบรัฐสภาที่มีความตั้งมั่น (Moniruzzaman, 2009)