Page 72 - 23154_Fulltext
P. 72

67


               ส่วนของวาระด ารงต าแหน่งและการออกเสียงลงมติในการประชุมจะใช้กฎหมายชุดเดียวกันกับสมาชิกสภาผู้แทน

               ราษฎร ทั้งสองสภามีวาระคราวละ 5 ปีเช่นเดียวกัน
                       การลงคะแนนเสียงประเด็นต่าง ๆ จากทั้งสองสภาจะใช้มติของเสียงข้างมากเป็นหลัก ยกเว้นกรณีของ
               บัญญัติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญจะใช้มติของเสียงข้างมากพิเศษหรือ 2 ใน 3 ของจ านวนสมาชิกแทนตามก าหนดใน

               มาตรา 64 ขณะที่การเสนอร่างกฎหมายสามารถท าได้ผ่านทั้งสองสภาจะเป็นไปตามมาตรา 72 เริ่มต้นจากการ
               พิจารณาของคณะกรรมาธิการ ก่อนที่จะเข้าสู่การพิจารณาของทั้งสองสภาและเข้าสู่กระบวนการลงคะแนนจนถึง

               กระบวนการในวาระสุดท้าย
                       อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประธานาธิบดีจะมีฐานะเป็นประมุขของรัฐ และโดยต าแหน่งและตามมาตรา 73

               ประธานาธิบดีจะมีอ านาจประกาศใช้กฎหมายภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่ผ่านกฎหมายโดยรัฐสภา แต่มีเงื่อนไขที่ฝ่าย
               นิติบัญญัติจะสามารถคานอ านาจของฝ่ายบริหารได้ดังนี้

                              “มาตรา 73 กฎหมายจะถูกประกาศใช้โดยประธานาธิบดีภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่ผ่านร่าง
                       กฎหมาย

                              หากว่าเสียงข้างมากสัมบูรณ์ของสมาชิกสภาลงความเห็นประกาศใช้กฎหมายเป็นสภาวะเร่งด่วน
                       ให้ถือว่ากฎหมายประกาศใช้ทันทีภายในก าหนดเวลาที่ตั้งไว้”

                       เช่นเดียวกับมาตรา 74 ที่ให้อ านาจประธานาธิบดีสามารถส่งความคิดเห็นทบทวนร่างกฎหมายกลับไปยัง
               รัฐสภาก่อนที่จะมีการประกาศใช้กฎหมาย ทว่าหากรัฐสภาลงคะแนนเสียงยืนยันที่จะผ่านร่างกฎหมายอีกครั้ง ให้

               ถือว่ากฎหมายนั้นสามารถประกาศใช้งานได้
                       แต่อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดียังคงมีอ านาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา หรือทั้งสองสภา

               โดยที่ได้รับการปรึกษาจากประธานสภานั้นเสียก่อนตามมาตรา 88 นอกจากนั้นมาตราดังกล่าวยังจ ากัดไม่ให้
               ประธานาธิบดีใช้อ านาจยุบสภาในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของวาระด ารงต าแหน่งอีกด้วย



                       สรุป


                       พัฒนาการของระบบรัฐสภาอิตาลีนับตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยในปี ค.ศ. 1946 สามารถแบ่ง
               ออกเป็น 2 ช่วงที่ส าคัญ ได้แก่

                       1)   ค.ศ. 1946-1994 เป็นช่วงที่พรรคการเมืองเข้ามามีบทบาทน าในการสร้างประชาธิปไตย ทว่าบทบาท
                          ดังกล่าวก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรค DC ซึ่งเป็นพรรคที่อุดมการณ์แบบกลาง แม้จะสนับสนุน

                          คาทอลิกแต่ก็ไปด้วยกันได้กับการร่วมมือกับพรรคอุดมการณ์ซ้าย โดยที่พรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี
                          (Italian Communist Party) เป็นฝ่ายค้านมาตลอดกว่า 50 ปี
                       2)  ต้นทศวรรษ ค.ศ. 1990s เนื่องจากเกิดการเมืองคณาธิปไตยในหมู่ชนชั้นน าการเมือง แต่ภาค

                          ประชาชนเองก็มีกระแสต่อต้าน และหันมาส่งเสริมการเมืองแบบโปร่งใส ด้วยบทเรียนจาก
                          ประสบการณ์ทางการเมืองของอิตาลีทั้งในเรื่องความไม่ไว้วางใจฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง รวมถึงเรื่อง

                          ประสบการณ์ทางการเมืองที่สั่งสมมาเพียงในเวลาสั้น ท าให้เกิดการเรียนรู้ในเรื่องการเมืองและน ามาสู่
   67   68   69   70   71   72   73   74   75   76   77