Page 71 - 23154_Fulltext
P. 71

66


               system) พรรคการเมืองในรัฐสภาจึงมีความพหุนิยมมากขึ้นหลังจากพรรคอุดมการณ์เป็นกลางมีบทบาทลดลง

               และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของผู้น าทางการเมือง เนื่องจากความยากในการท าตามนโยบายพรรคในสภาวะที่การเมืองมี
               แนวโน้มเป็นพหุนิยมทางการเมืองสูง ผู้น าที่มีบุคลิกชี้น าการเมืองได้ดีจึงมีความส าคัญในระบบรัฐสภาที่แบ่งขั้วทาง
               การเมืองอย่างพหุนิยมเช่นนี้

                       พัฒนาการของระบบรัฐสภาของอิตาลีหลังจากการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในช่วงหลัง ค.ศ. 1946 โดย
               มีปัจจัยส าคัญที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์เชิงอ านาจในระบบรัฐสภาก็คือ การถ่วงดุลตรวจสอบแบบมีผู้ได้รับ-สูญเสีย

               ประโยชน์ ทั้งนี้กล่าวได้ว่าสามารถแบ่งได้อย่างน้อย 2 ช่วงส าคัญด้วยกัน ได้แก่  หลัง ค.ศ. 1946 เป็นต้นมา พรรค
               การเมืองเป็นแกนน าในการเดินภารกิจทางการเมือง โดยมีพรรคคริสเตียนเดโมแครต (Christian Democrat: DC)

               เป็นพรรคการเมืองที่ครองเสียงข้างมากในสภามานับตั้งแต่ ค.ศ. 1946-1994 จนกระทั่ง ค.ศ. 1994 เกิดการปฏิรูป
               การเมืองครั้งส าคัญ ทั้งการปฏิรูประบบเลือกตั้งให้เพิ่มระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากธรรมดา (first past the

               post) รวมถึงเปิดให้มีการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก ผลที่ตามมาจึงมีทั้งผลประโยชน์คือ สมาชิกรัฐสภามีความชอบธรรม
               ในฐานะตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริง ส่งผลให้ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านมีความประนีประนอมมากยิ่งขึ้นในการ
               พิจารณาผ่านร่างกฎหมายที่ส าคัญในระดับชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายเกี่ยวกับการให้อ านาจท้องถิ่น แต่

               อย่างไรก็ตาม ผลในทางกลับกันคือ พรรคการเมืองเกิดความแบ่งขั้วกันในอีกรูปแบบ เป็นเหตุให้รัฐสภาต้องการ
               ผู้น าทางการเมืองที่มีบุคลิกภาพสามารถชี้น าทางการเมืองได้ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ระบบรัฐสภาอิตาลีกลับไปเป็น

               ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่ผู้น าทางการเมืองเข้ามามีบทบาทชี้น าความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภาอีกครั้งหากไม่ใช่ใน
               ประเด็นของการเมืองระดับภูมิภาค


                       โครงสร้างและอ านาจหน้าที่ของรัฐสภา: มิติความสัมพันธ์เชิงอ านาจ

                       รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1947 (แก้ไขเพิ่มเติม ค.ศ. 2020) ได้วางหลักการส าคัญของความเป็นสาธารณรัฐอิตาลี

               ไว้ในมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติว่า "อิตาลีเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย ก่อตั้งขึ้นจากแรงงาน อ านาจ
               อธิปไตยเป็นของประชาชน และใช้โดยประชาชนในรูปแบบและภายในขอบเขตของรัฐธรรมนูญ"  ขณะเดียวกัน
               มาตรา 7 ก็รับรองความเป็นอิสระของโบสถ์คาทอลิก เพื่อเป็นหลักประกันในทางศาสนาแก่ชาวคริสเตียนนิกาย

               คาทอลิก ซึ่งความเข้มแข็งของชุมชนคาทอลิกเองก็สะท้อนออกมาผ่านอ านาจน าของพรรค DC ที่มีมาในช่วงเวลา
               ค.ศ. 1946-1994 เช่นกัน ทั้งนี้ล าดับต่อมาจะเป็นการส ารวจความสัมพันธ์เชิงอ านาจภายในระบบรัฐสภาของอิตาลี

               ซึ่งมีลักษณะเป็นระบบสภาคู่ ซึ่งอิตาลีมีข้อสังเกตตรงที่ว่า เนื่องจากที่มาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมา
               จากการเลือกตั้ง อ านาจของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจึงใกล้เคียงกันในบทบาทนิติบัญญัติ

                       ส่วนของสภาผู้แทนราษฎร เริ่มต้นด้วยมาตรา 46 ที่เป็นการก าหนดที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มี
               ที่มาจากการเลือกตั้งทางตรง โดยประกอบด้วยสมาชิกจ านวน 400 คน ซึ่งก าหนดสัดส่วนให้ 392 คนมาจาก

               ประชากรในแต่ละเขตเลือกตั้ง อีก 8 คนมาจากการเลือกของชาวอิตาลีผู้มีสิทธิเลือกตั้งในต่างประเทศ ขณะที่ส่วน
               ของสมาชิกวุฒิสภาจะมีจ านวน 200 คน โดยมาจากการเลือกตั้งตามสัดส่วนสมาชิกแต่ละเขตตามจ านวนประชากร
               ในเขตนั้น นอกจากนั้นมาตรา 59 ยังก าหนดให้อดีตประธานาธิบดีมีต าแหน่งวุฒิสมาชิกโดยต าแหน่งอีกด้วย ทั้งนี้ใน
   66   67   68   69   70   71   72   73   74   75   76