Page 74 - 23154_Fulltext
P. 74
69
พัฒนาการทางการเมืองของมาเลเซียนั้นเริ่มต้นภายหลังจากประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1957 Ong (1990)
อธิบายว่า การเมืองของมาเลเซียด าเนินไปด้วยปัจจัยส าคัญคือ การเมืองแบบชุมชน (communal politics) ซึ่ง
น ามาสู่ปัญหาใหญ่ 2 ประการในระบบการเมืองของมาเลเซีย ได้แก่ การสร้างความกลมกลืนท่ามกลางพหุนิยมทาง
การเมืองระหว่างแต่ละชุมชน และปัญหาการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง อันมีรากฐานมาจากการประนีประนอม
ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างอังกฤษกับชาวมาเลย์ในความตกลงอังกฤษ-มาเลย์ ค.ศ. 1948 เพราะแม้อังกฤษ
รับรองอ านาจอธิปไตยของมาเลเซีย แต่ก็มาพร้อมกับการรับรองสิทธิของคนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่ชาวมาเลย์ดั้งเดิม
ส่งผลให้เกิดการรับรองความเป็นพลเมืองชาวมาเลย์ในรูปแบบที่มีการแบ่งแยก ระหว่างชาวมาเลย์ที่ได้รับสิทธิ
บริการสาธารณะพิเศษครบทุกประเด็น ขณะที่ผู้ที่ไม่ได้เป็นชาวมาเลย์โดยก าเนิดจะได้รับความเป็นพลเมืองภายใต้
การจ ากัดสิทธิบางประการ ความขัดแย้งพื้นฐานของมาเลเซียจึงเป็นเรื่องของชนชั้นน าชาวมาเลย์ที่ต้องการจ ากัด
อ านาจไม่ให้ถูกท้าทายโดยชุมชนที่ไม่ได้เป็นชาวมาเลย์ การแข่งขันของพรรคการเมืองหลังจากมาเลเซียได้รับเอก
ราชจึงเป็นการแข่งระหว่างขั้วอ านาจของพรรคชาตินิยมน าโดยพรรค BN (Barisan National) กับพรรคพหุนิยม
การเมืองน าโดย UMNO (United Malay National Organisation) Ong มองว่า วุฒิสภาไม่มีบทบาทที่มีอิทธิพล
ต่อการเมืองระดับชาติ ขณะที่บทบาทของกษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของชาติและมีอ านาจทางอ้อมเพียงแค่การโน้มน้าว
นายกรัฐมนตรีเท่านั้น ในช่วงเวลาหลังจากการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของมาเลเซียแม้ว่าจะยังมีพรรคการเมือง
ขั้วอ านาจของ BN ที่ครองเสียงข้างมากในสภา แต่กลไกหนึ่งที่มีส่วนส าคัญในการเป็นพื้นที่ประนีประนอมทาง
การเมืองด้วยการเปิดรับฟังความคิดเห็นของเสียงข้างน้อยก็คือ คณะกรรมาธิการควบคุมข้อบังคับสภา (Standing
Orders Committee) เนื่องจากการถกเถียงร่างกฎหมายหรือญัตติในการประชุมสภาล้วนถูกควบคุมโดยขั้วอ านาจ
พรรคเสียงข้างมากในสภา นอกจากนั้นกลไกตรวจสอบการท างานของรัฐบาลอย่างคณะกรรมาธิการติดตามการ
บริหารงบประมาณ (public account committee) ยังถูกควบคุมโดยพรรคที่ครองเสียงข้างมากของสภา ด้วยเหตุ
นี้แม้ว่าจะมีสามารถสร้างสถาบันการเมืองให้ตั้งมั่นหลังสร้างชาติ หรือมีกลไกตรวจสอบทางการเมือง แต่อย่างไรก็
ตามสถาบันการเมืองและกลไกดังกล่าวกลับถูกควบคุมโดยพรรคการเมืองเสียงข้างมากและใช้งานอย่างจ ากัด
ระบบรัฐสภาของมาเลเซียในทัศนะของ Ong จึงเป็นสถาบันการเมืองที่ท างานภายใต้ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่
พรรคการเมืองของกลุ่มอัตลักษณ์ชาตินิยมครอบง าการท างานของรัฐสภา และรูปแบบระบอบการเมืองดังกล่าวจึง
เรียกได้ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบจ ากัด (limited democracy)
ค าถามที่ตามมา คือ พรรคฝ่ายค้านในระบบรัฐสภามาเลเซียปรับตัวอย่างไรเพื่อสร้างบรรยากาศของการ
ถ่วงดุลอ านาจและตรวจสอบอ านาจของฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลที่มักครองอ านาจน าในความสัมพันธ์เชิงอ านาจ
ภายใต้ระบบรัฐสภา Omar (2008) ศึกษาพัฒนาการของพรรคฝ่ายค้านในการพยายามสร้างแนวทางตรวจสอบ
ถ่วงดุลพรรครัฐบาลภายใต้ระบบรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตยแบบจ ากัด เนื่องจากกลไกการท างานของสภา
ผู้แทนราษฎรมาเลเซียจะถูกก ากับด้วยคณะรัฐมนตรีที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้น า เป็นเหตุให้ขั้วอ านาจรัฐบาลที่น า
โดยพรรค BN ครอบง าการท างานของรัฐสภาได้ ขณะที่พรรคแกนน าฝ่ายค้านในช่วง ค.ศ. 1999 พรรค DAP
(Democratic Action Party) พรรค PAS (the Islamic Party of Malaysia) และพรรค KeADILan (the
People’s Justice Party) พรรคเหล่านี้และพรรคร่วมพยายามหลายวิธีเพื่อปรับตัวรับมือกับขั้วอ านาจของพรรค
แกนน ารัฐบาล Omar ตั้งข้อสังเกตเป็นพิเศษใน 2 วิธีหลัก ได้แก่ การตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีเพื่อรวบรวมข้อมูลหรือ