Page 75 - 23154_Fulltext
P. 75

70


               จับผิดประเด็นที่รัฐมนตรีมีข้อมูลไม่เพียงพอหรือคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง จากการส ารวจจาก ค.ศ. 1982-2003

               พบว่าโดยหลักเป็นค าถามเรื่องบริการภาครัฐอันเป็นความรับผิดชอบของพรรครัฐบาลที่พรรคฝ่ายค้านรับบทเป็นผู้
               ทวงถามแทนประชาชน ซึ่ง Omar ส ารวจเจาะจงค าถามเรื่องระบบการศึกษา ประกอบด้วย 4 ประเด็นชุดค าถาม
               ได้แก่ ค าถามจากพรรค DAP ทวงถามระบบการศึกษาส าหรับนักเรียนที่ใช้ภาษาจีนเป็นหลัก น ามาสู่การตั้งระบบ

               โรงเรียนประถมภาษาจีนแห่งชาติใน ค.ศ. 1987 ถัดมาเป็นค าถามจากพรรค DAP เพื่อทวงถามความเป็นธรรมของ
               ระบบคัดนักศึกษาเข้าระบบมหาวิทยาลัยโดยค านึงสัดส่วนของชาติพันธุ์อย่างเท่าเทียม จากนั้นเป็นค าถามจาก

               พรรค PAS เพื่อให้รัฐบาลสนับสนุนสถานะให้แก่โรงเรียนศาสนาที่เป็นของเอกชน และค าถามที่สี่เป็นค าถาม
               ประเด็นเศรษฐกิจจากพรรค DAP ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่เพียงตั้งค าถามหรือทวงถามต่อรัฐบาล หากแต่ยัง

               พยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อน าไปสู่การชี้ให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในนโยบายรัฐและเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้
               แสดงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาลได้อีกด้วยนอกจากนั้นการเสนอเลื่อนการประชุม โดยมีเงื่อนไขเพื่อเปิด

               โอกาสให้น าญัตติด่วนเข้ามาพิจารณาแทน 3 ประการ ได้แก่ เป็นประเด็นเร่งด่วน เป็นประเด็นที่เฉพาะเจาะจง
               และเป็นประเด็นที่สาธารณชนสนใจ โดยรูปแบบของญัตติที่ฝ่ายค้านเคยพยายามน าเสนอ ได้แก่ ญัตติวิจารณ์การ
               ท างานของรัฐบาล (เช่น มีผู้ประท้วงรัฐบาลด้วยการอดอาหารประท้วง หรือการจับกุมนักกิจกรรมทางการเมือง

               เป็นต้น) ญัตติสะท้อนความผิดปกติของสังคม (เช่น มูลค่าแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศผันผวน หรือพบข้อ
               สงสัยการทุจริตของรัฐมนตรี เป็นต้น)

                       ด้วยเหตุนี้พัฒนาการส าคัญของระบบรัฐสภาของมาเลเซียจึงสามารถวิเคราะห์ผ่านประเด็นส าคัญ คือ
               ความขัดแย้งระหว่างชุมชนทางเมืองที่มีอัตลักษณ์แตกต่างกัน ระหว่างชาวมาเลย์ กับชนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่ชาวมาเลย์

               แต่ได้รับสัญชาติหลังจากอังกฤษยอมรับเอกราชของมาเลเซีย ผลที่ตามมาคือ สถาบันการเมืองที่ก่อร่างขึ้นโดยยึด
               กับหลักความเป็นประชาธิปไตยแบบจ ากัด คือ การที่ชนชั้นน าชาวมาเลย์ครองอ านาจในการเลือกตัวแทนผ่าน

               พรรคการเมืองชาตินิยมเข้าเป็นตัวแทนท าหน้าที่บริหารและนิติบัญญัติในรัฐสภา โดยที่พรรคร่วมรัฐบาลนั้นได้
               คะแนนมากกว่า 2 ใน 3 ของสภาเสมอมา จึงส่งผลให้ความสัมพันธ์เชิงอ านาจของรัฐสภามาเลเซียผูกขาดไว้กับ
               รัฐบาลจากพรรคที่เป็นตัวแทนของชนชั้นปกครอง อีกทั้งวุฒิสภายังไม่มีอ านาจมากที่จะคานอ านาจนิติบัญญัติของ

               สภาผู้แทนราษฎรในประเด็นงบประมาณสาธารณะ ในทางกลับกัน ฝ่ายค้านได้พยายามปรับตัวให้เข้ากับ
               ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่เสียเปรียบนี้ด้วยการแสวงหาแนวทางคานอ านาจกับรัฐบาล ตัวอย่างเช่น การตั้งกระทู้

               ถามรัฐมนตรี หรือการเลื่อนการประชุมเพื่อเสนอญัตติเร่งด่วนแทน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์เชิงอ านาจของ
               ระบบรัฐสภามาเลเซียได้ด าเนินไปอย่างไม่สมดุลโดยมีปัจจัยส าคัญอยู่ที่ชนชั้นน าชาวมาเลย์ให้การสนับสนุนพรรค

               ชาตินิยมอย่าง BN หรือพรรคที่อุดมการณ์สอดคล้องกัน ให้มีจ านวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจนสามารถครองเสียง
               ข้างมากในสภาได้อย่างมีเสถียรภาพเสมอมา



                       โครงสร้างและอ านาจหน้าที่ของรัฐสภา: มิติความสัมพันธ์เชิงอ านาจ

                       ระบบรัฐสภาแบบสภาคู่ของมาเลเซียจะมีการก าหนดขอบเขตอ านาจและหน้าที่ของแต่ละสภาไว้ใน

               รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1957 (แก้ไขเพิ่มเติม ค.ศ. 2007) นอกจากนี้รัฐธรรมนูญยังระบุสถานะความเป็นสหพันธรัฐตาม
   70   71   72   73   74   75   76   77   78   79   80