Page 69 - 23154_Fulltext
P. 69
64
ครอบคลุมจึงมีทั้งวิธีการเลือกตัวแทนผ่านทั้งการเลือกตั้งและแต่งตั้ง อย่างไรก็ตาม อ านาจของวุฒิสภาเกือบจะมี
ความเทียบเท่ากับสภาผู้แทนราษฎร เว้นแต่ในขอบเขตของงบประมาณและกฎหมายอื่นที่รัฐธรรมนูญก าหนด ซึ่ง
กฎหมายส าคัญดังกล่าวจะจ ากัดให้วุฒิสภามีอ านาจเพียงให้แสดงความเห็นชอบหรือแสดงความไม่เห็นชอบพร้อม
เสนอค าแนะน ากลับไปยังสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสรุปได้ว่า ระบบรัฐสภาของเบลเยียมให้ความส าคัญกับการประนีประนอมความ
ขัดแย้งทางอัตลักษณ์ของ 2 กลุ่มภาษาใหญ่ทั้งฝรั่งเศสและดัตช์ โดยระบบรัฐสภาทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ต่างรองรับการมีสัดส่วนตัวแทนของแต่ละกลุ่มอัตลักษณ์อย่างครอบคลุม อีกทั้งยังมีใช้รัฐธรรมนูญเป็นสถาบัน
การเมืองเพื่อจัดสรรความสัมพันธ์ทางอาจของระบบรัฐสภาเบลเยียมให้เป็นไปอย่างใกล้เคียงกันในอ านาจนิติ
บัญญัติ มีเพียงการพิจารณางบประมาณและร่างกฎหมายบางประการเท่านั้นที่วุฒิสภามีอ านาจเพียงอ านาจ
พิจารณาแสดงความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายเท่านั้น ดังนั้นแล้วระบบรัฐสภาเบลเยียมจึงเป็นทั้งระบบที่ให้
ความส าคัญยกย่องสถาบันกษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐอันมีอ านาจทางอ้อมในการรับรองความชอบธรรมของ
ระบบรัฐสภา ขณะเดียวกันรัฐสภาก็เป็นพื้นที่ของความพหุนิยมทางการเมืองในการประนีประนอมของตัวแทนที่
ต่อรองทางการเมืองมาอย่างยาวนานด้วยการปฏิรูปทางการเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไปเสมอมาผ่านระบบรัฐสภา
3.6 อิตาลี
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
พัฒนาการของระบบรัฐสภาของอิตาลีเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการรวมชาติ เมื่อมีการก่อตั้งราชอาณาจักรอิตาลี
ในปี ค.ศ. 1861 ระบบสภาคู่ของอิตาลีเริ่มจ้นพร้อมกับราชอาณาจักรอิตาลี ประกอบด้วยสภาล่าง (สภา
ผู้แทนราษฎร) และสภาสูง (วุฒิสภา) ระบบรัฐสภาของอิตาลีด ารงอยู่ในยุคราชอาณาจักรอิตาลี ซึ่งมีกษัตริย์เป็น
ประมุขในช่วงปี ค.ศ. 1861-1946 ทั้งนี้ ในช่วง ค.ศ. 1945-1946 มี “สภาแห่งชาติ” (Consulta Nazionale) ท า
หน้าที่รัฐสภาชั่วคราวในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง (Bartolotta, 1971) จนกระทั่งหมุดหมายส าคัญใน
พัฒนาการทางการเมืองของอิตาลีเกิดขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1946 เมื่อมีการจัดการลงประชามติ ผลปรากฏ
ว่าประชาชนชาวอิตาเลียนส่วนใหญ่เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเป็น “สาธารณรัฐอิตาลี” อัน
น ามาสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างของระบบรัฐสภาอิตาลี ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงบางประการ โดยที่ยังคง
เป็นระบบสภาคู่อยู่ต่อไป
ภายหลังการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ในหลายประเทศมักให้ความส าคัญกับการออกแบบสถาบันการเมือง
บนพื้นฐานของหลักการแบ่งแยกอ านาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ที่สามารถตรวจสอบถ่วงดุล
กัน แต่ในกรณีของอิตาลีนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนรูปแบบของรัฐจากราชอาณาจักรเป็นสาธารณรัฐแล้ว Violante
(2001) ได้ตั้งข้อสังเกตต่อพัฒนาการของการเมืองอิตาลีว่ามีปัจจัยส าคัญประการหนึ่งต่อความเป็นประชาธิปไตย
ของอิตาลีคือ อิตาลีเลือกที่จะสร้างระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอ านาจบนฐานคิดแบบได้อย่าง-เสียอย่าง
(offsetting powers) ภายใต้การท างานร่วมกันระหว่าง 5 สถาบันการเมือง ได้แก่ พรรคการเมือง ฝ่ายบริหาร

