Page 64 - 23154_Fulltext
P. 64

59


               ร่วมมือกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ที่พรรคหรือภูมิภาคต้องการให้เป็นตัวแทนในการคุ้มครองผลประโยชน์ หรืออีก

               แนวทางคือการตั้งรัฐบาลร่วมกันระหว่างพรรคใหญ่ 2 พรรค ซึ่งแนวทางนี้เคยประสบความส าเร็จในการร่วมมือ
               เพื่อให้มีคะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกสภาแห่งชาติในการผ่านกฎหมายส าคัญที่สังคมต้องการหรือเพื่อ
               ปฏิรูปให้รัฐสภามีความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่เอื้ออ านวยแก่ฝ่ายนิติบัญญัติมากยิ่งขึ้น

                       ในด้านอ านาจของสภาผู้แทนมลรัฐ หลังจากมีรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1920 เป็นหมุดหมายในการสร้างความตั้ง
               มั่นให้แก่สถาบันรัฐสภา สภาผู้แทนมลรัฐแม้ว่าจะมีบทบาทเป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของรัฐบาลมลรัฐซึ่ง

               สะท้อนความเป็นพหุนิยมทางการเมืองในแต่ละท้องถิ่น และสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบร่างกฎหมาย
               ที่จะผ่านโดยสภาแห่งชาติ แต่อย่างไรก็ตาม สภาผู้แทนมลรัฐไม่สามารถยับยั้งร่างกฎหมายของสภาแห่งชาติได้ ท า

               ได้เพียงชะลอการผ่านร่างกฎหมายของสภาแห่งชาติด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 ของสภาผู้แทนมลรัฐเท่านั้น
                       ทั้งนี้ แม้ว่าสภาแห่งชาติจะมีความเหนือสภาผู้แทนมลรัฐ เมื่อพิจารณาในเชิงความสัมพันธ์เชิงอ านาจ แต่

               ไม่ได้หมายความว่า สภาแห่งชาติจะมีอ านาจรวมศูนย์ผูกขาดการตัดสินใจทางการเมือง ในการตอบสนองหลักการ
               ความเป็นสหพันธรัฐของออสเตรีย สิ่งที่สหพันธรัฐพึงรักษาไว้ก็คือ หลักความเป็นอิสระของมลรัฐ ซึ่งรัฐธรรมนูญ

               ออสเตรียวางโครงสร้างเพื่อรักษาความอิสระของแต่ละมลรัฐไว้ด้วยการสถาปนาสถาบันการเมืองที่สามารถเข้าไปมี
               ส่วนร่วมและตรวจสอบระบบรัฐสภา ด้วยการเปิดโอกาสให้สถาบันการเมืองเหล่านั้นเข้าไปแทรกแซงความสัมพันธ์

               เชิงอ านาจของระบบรัฐสภา ตัวอย่างหนึ่งที่สามารถน าไปศึกษาต่อยอดได้ นอกจากบทบาทของรัฐบาลมลรัฐที่
               สามารถเลือกตั้งตัวแทนเพื่อเข้าไปเป็นสภาผู้แทนมลรัฐแล้ว ยังมีบทบาทของผู้ว่าการมลรัฐสามารถเข้าไปมีส่วน
               ร่วมกับรัฐบาลสหพันธ์ในการตัดสินใจทางการเมืองในประเด็นสหภาพยุโรป ตลอดจนมีสิทธิได้รับฟังข้อมูลการ

               ด าเนินการเกี่ยวกับสหภาพยุโรปที่ทางรัฐบาลสหพันธ์จะตัดสินใจใดขึ้นมาด้วย


               ระบบกลุ่มประเทศประชาธิปไตยบกพร่อง


                       3.5 เบลเยียม

                       พัฒนาการทางประวัติศาสตร์


                       พัฒนาการของระบบรัฐสภาในเบลเยียม ซึ่งเป็นระบบสภาคู่ (bicameralism) เกิดขึ้นพร้อมกับพัฒนาการ
               ของรัฐ ซึ่งมีการสถาปนาขึ้นในปี ค.ศ. 1830 Deschouwer (2005) ได้อธิบายพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของ

               ประเทศเบลเยียมไว้ถึงพัฒนาการส าคัญของความขัดแย้งทางอัตลักษณ์ในระบอบการเมืองและระบบรัฐสภาในช่วง
               ก่อตั้งประเทศราว ค.ศ. 1830 เบลเยียมยังมีสถานะเป็นรัฐเดี่ยวที่เป็นสองขั้วอ านาจใหญ่ทางอัตลักษณ์ ได้แก่ ฝ่าย

               เหนือของเบลเยียมเป็นกลุ่มเฟลมิช (Flemish) หรือกลุ่มที่พูดภาษาดัตช์เป็นหลัก และฝ่ายทางใต้ของเบลเยียมเป็น
               กลุ่ม Walloons หรือกลุ่มที่พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก ส่งผลให้เกิดเป็นระบบการเมืองแบบทวิลักษณ์ (dualistic
               political system) เรื่อยมาดังที่ Beaufays (1988) เสนอไว้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วท่ามกลางสถานการณ์ความ

               ขัดแย้ง ชนชั้นน าเป็นกลุ่ม Walloons ที่คุมอ านาจทางการเมืองและก าหนดให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการของ
               ชาติ แต่กลุ่ม Flemish ที่เป็นชนชั้นกลาง-กลางล่างแม้ว่าจะเป็นเสียงข้างมากแต่ก็ดิ้นรนเพื่อช่วงชิงอ านาจทาง
   59   60   61   62   63   64   65   66   67   68   69