Page 60 - 23154_Fulltext
P. 60

55


                          ประชาชนออสเตรีย (Austrian People's Party: ÖVP) จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การแก้ไข

                          กฎหมายภายใต้รัฐบาลผสมนั้นเป็นไปได้ยากท่ามกลางแข่งขันต่อรองทางการเมืองและความไม่
                          ไว้วางใจต่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่จากหลากขั้วความพหุนิยมทางการเมือง
                       2)  สหภาพยุโรปในฐานะปัจจัยภายนอกที่ช่วยชี้วัดผลของการปฏิรูประบบรัฐสภา เนื่องจากการที่

                          ออสเตรียเข้าร่วมสหภาพยุโรปในปี ค.ศ. 1995 ส่งผลให้ออสเตรียต้องก าหนดโครงสร้างการท างาน
                          ของคณะกรรมาธิการผู้เชี่ยวชาญด้านสหภาพยุโรป ซึ่งจากความตื่นตัวดังกล่าวเป็นเหตุให้ออสเตรีย

                          ส่งเสริมความเป็นสถาบันของการท างานของกรรมาธิการเพื่อให้เกิดการแบ่งงานท าตามความ
                          เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของสมาชิกรัฐสภามากยิ่งขึ้น


                       อย่างไรก็ตาม งานของ Sieberer et al. (2011)  เกิดคุณูปการในการเสนอกรอบวิธีการวิจัยระบบรัฐสภา

               ในกรณีของประเทศที่มีรากวัฒนธรรมร่วมกัน ได้แก่ ออสเตรีย เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ แต่งานดังกล่าวยัง
               ไม่ได้ศึกษาความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่เกิดจากการก าหนดกรอบอ านาจและหน้าที่ของระบบสภาคู่ทั้งสภาแห่งชาติ

               และสภาผู้แทนมลรัฐมากเพียงพอ ในการศึกษาความสัมพันธ์เชิงอ านาจในระบบรัฐสภาของออสเตรียไม่ได้มีแต่
               เพียงปัจจัยเชิงสถาบันภายในอย่างสภาแห่งชาติและสภาผู้แทนมลรัฐเท่านั้น แต่ยังมีตัวแปรนอกสภาที่มีผลต่อการ

               ต่อรองทางการเมืองภายในรัฐสภาอีกด้วย Sturm (2005) สอดคล้องกับข้อสังเกตของ Erk (2004) ในประเด็นของ
               ผลกระทบจากระบบสหพันธรัฐที่ส่งผลให้ระบบรัฐสภามีอ านาจความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่สภาแห่งชาติมีอ านาจ
               เหนือสภาผู้แทนมลรัฐ อีกทั้งยังก่อให้เกิดคู่ขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ของพรรคการเมืองใหญ่ในสภาแห่งชาติระหว่าง

               อุดมการณ์สังคมประชาธิปไตยที่ต้องการให้ศูนย์กลางอ านาจเข้มแข็ง กับอุดมการณ์สังคมคริสเตียนที่เน้นความเป็น
               อิสระของมลรัฐ หลังจากพัฒนาการส าคัญจากรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1920 เป็นต้นมา งานชิ้นนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ได้มีอีก 3

               พัฒนาการที่ส าคัญ ได้แก่ พัฒนาการที่ส าคัญล าดับถัดมาคือ ค.ศ. 1929 ที่มีการแก้ไขโครงสร้างทางการเมืองใน 2
               ส่วนส าคัญ ได้แก่ การเสริมอ านาจให้แก่ประธานาธิบดีสหพันธ์ และการเพิ่มสัดส่วนของตัวแทนมลรัฐที่เป็นกลุ่มทาง
               สังคมขนาดใหญ่ในสภาผู้แทนมลรัฐ (Stände) หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1934 การปรับมาใช้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1934

               เพื่อรองรับระบอบฟาสซิสต์ ส่งผลให้รัฐบาลมีบทบาทเพียงนิติบัญญัติ โดยมีคณะมนตรีแห่งมลรัฐ (Länderrat) เป็น
               ผู้แสดงความเห็นชอบร่างกฎหมาย จนกระทั่งหลังความพ่ายแพ้ของนาซีเยอรมัน ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา ออสเตรีย

               กลับไปใช้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1920 อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ยังคงความรวมศูนย์ทางอ านาจแม้ว่าเป็นสหพันธรัฐ อีกทั้ง
               ระบบการลงคะแนนผ่านร่างกฎหมายของสภาแห่งชาติยังตัดสินคะแนนด้วยระบบเห็นชอบ 2 ใน 3 ของสมาชิก

               สภาแห่งชาติ ส่วนสภาผู้แทนมลรัฐต้องการคะแนนเห็นชอบเพียงเสียงข้างมากของสภาผู้แทนมลรัฐ แล้วจึงปรับใช้
               เป็นเสียงเห็นชอบ 2 ใน 3 ของสมาชิกสภาผู้แทนมลรัฐเพื่อแสดงความเห็นอนุมัติร่างกฎหมายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948

               เป็นต้นมา โดยสภาผู้แทนมลรัฐถือเป็นกลไกส าคัญที่รัฐธรรมนูญก าหนดให้เป็นหลักประกันความพหุนิยมทาง
               การเมือง เพราะว่าสภาผู้แทนมลรัฐถูกก าหนดให้มีที่มาของต าแหน่งจากการเลือกตั้งของรัฐบาลประจ ามลรัฐ
               (state parliament) ซึ่งประกอบด้วยพรรคการเมืองที่หลากหลายตามอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น รวมถึงผู้ว่าการ

               รัฐก็สามารถขอมีส่วนร่วมในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของสภาผู้แทนมลรัฐได้เช่นกัน ขณะเดียวกันอ านาจ
               ของสภาผู้แทนมลรัฐในระบบรัฐสภานั้นท าได้เพียงชะลอการผ่านร่างกฎหมายของสภาแห่งชาติเท่านั้น ดังนั้นแล้ว
   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65