Page 57 - 23154_Fulltext
P. 57

52


               เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีในการประสานงานกับระทรวงที่รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่การท างานของ

               นายกรัฐมนตรีไม่เป็นที่ไว้วางใจของสภา สภาผู้แทนราษฎรสามารถยื่นขอถอดถอนนายกรัฐมนตีและขอเลือกตั้ง
               นากยรัฐมนตรีคนใหม่มาแทนที่ได้ตามมาตรา 67 ดังความตามนี้
                              “มาตรา 67 สภาผู้แทนราษฎรสามารถแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีด้วยการ

                       เลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาแทนที่โดยที่ต้องมีคะแนนเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรเห็นด้วยที่
                       จะให้มีการยื่นเรื่องถอดถอนนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภามีหน้าที่ท าตามค าร้องขอของสภาและแต่งตั้ง

                       บุคคลที่ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”
                       ในทางกลับกัน นายกรัฐมนตรีเองก็มีอ านาจตามมาตรา 68 (1) ในการยื่นประธานรัฐสภาเพื่อขอยุบสภา

               ภายใน 21 วันหลังจากถูกถอดถอนจากต าแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ทั้งนี้สิทธิขอยุบสภาจะสามารถใช้งานได้ก็ต่อเมื่อ
               สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วยเสียงข้างมากเสร็จสิ้นแล้ว



                       สรุป


                       เยอรมนีเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาของประเทศที่มีพัฒนาการทางการเมืองที่เคยผ่านความผันผวนของ
               เสถียรภาพของระบอบการเมืองสูงมาก จากระบอบรัฐธรรมนูญที่กษัตริย์ทรงปกครองมาสู่ระบอบสาธารณรัฐ

               ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มีทั้งส่วนที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์บางประการไว้ ดังเช่นแนวคิดของการมีสภา
               ผู้แทนมลรัฐ (Bundesrat) เดิมทีเป็นสถาบันการเมืองอันเป็นมรดกจากการคานอ านาจของสถาบันกษัตริย์ด้วยการ
               แต่งตั้งตัวแทนชนชั้นน าเข้าไปคานอ านาจของฝ่ายปฏิวัติในรัฐสภา สมดุลในทางความสัมพันธ์เชิงอ านาจในระบบ

               รัฐสภาจึงยังไม่เกิด เนื่องจากในทางทฤษฎีการเมือง อ านาจของสถาบันกษัตริย์เป็นอ านาจสถาปนาที่สัมพันธ์กับ
               แนวคิดเรื่องสมมติเทพ อ านาจในระบบรัฐสภาของสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่สามารถค้านอ านาจของสถาบันกษัตริย์

               อีกทั้งยังมีสภาผู้แทนมลรัฐที่กษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งยังเข้ามามีบทบาทตรวจสอบร่างกฎหมายในสภาอีกด้วย  ความ
               เปลี่ยนแปลงส าคัญเกิดในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองสู่ระบอบสาธารณรัฐ แม้ว่าระบบสภาผู้แทนมลรัฐจะ

               ยังคงอยู่ ทว่าบทบาทก็เปลี่ยนไปจากความเชื่อมโยงกับอ านาจฝ่ายสถาปนาอย่างสถาบันกษัตริย์ แนวคิดเรื่องสภา
               ผู้แทนมลรัฐได้ถูกนิยามใหม่ในรัฐธรรมนูญให้กลายเป็นสภาที่เป็นหลักประกันของการมีตัวแทนจากมลรัฐในการเข้า

               ไปตรวจสอบร่างกฎหมายในฐานะของตัวแทนเพื่อเป็นหลักประกันของระบอบประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐที่ให้
               ความส าคัญกับการรักษาขอบเขตเสรีภาพของแต่ละมลรัฐที่มีอิสระต่อกัน
                       ความเปลี่ยนแปลงของสภาผู้แทนราษฎรเองก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นอย่างมี

               นัยส าคัญ นับตั้งแต่ห้วงเวลาที่ยังเป็นระบอบรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญที่มีกษัตริย์ปกครอง ซึ่งเป็นช่วงที่สภา
               ผู้แทนราษฎรไม่สามารถคานอ านาจสถาบันกษัตริย์เพื่อแสดงความยึดโยงกับความเป็นตัวแทนของประชาชนในการ

               ผ่านร่างกฎหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน จนกระทั่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคระบอบสาธารณรัฐไว
               มาร์ ซึ่งเป็นระบบการเมืองที่อ านาจรวมศูนย์อยู่ที่ประธานาธิบดี ซึ่งถือว่าเป็นผู้ใช้อ านาจในฐานะตัวแทนของ

               ประชาชน ผลลัพธ์คือ รัฐสภากลายเป็นสถาบันการเมืองที่อ่อนแอ ระบบรัฐสภาที่ไม่สามารถคานอ านาจของ
               ประธานาธิบดี จนน าไปสู่ความล้มเหลวในการรักษาระบอบประชาธิปไตยและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของ
   52   53   54   55   56   57   58   59   60   61   62