Page 59 - 23154_Fulltext
P. 59

54


                       2)  รัฐบาลของเคานต์ Badeni ประสบปัญหาในการรวบรวมเสียงข้างมากของรัฐสภาจากฝั่งเสรีนิยมเช็ค

                          และเสรีนิยมเยอรมัน อีกทั้งยังประสบปัญหาความขัดแย้งเยอรมัน-เช็ค จนน ามาสู่การลาออกจาก
                          ต าแหน่งของเคานต์ Badeni และแต่งตั้ง Paul Gautsch มาด ารงต าแหน่งประธาน-รัฐมนตรีแทนที่
                          (minister-president)  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Ableitinger พยายามอธิบายอย่างกระชับจึงเป็นลักษณะ

                          ของกรณีศึกษาความขัดแย้งทางการเมืองในกรอบระยะเวลาทศวรรษ 1900 ทว่าไม่ได้ตั้งข้อสังเกต
                          หรืออภิปรายความสัมพันธ์เชิงอ านาจอันมีรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันการเมืองก าหนดกรอบอ านาจและ

                          หน้าที่ซึ่งเป็นกติกาในการจัดสรรความสัมพันธ์ภายในระบบรัฐสภา


                       งานศึกษาเรื่องระบบรัฐสภาของออสเตรียเริ่มปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้นนับตั้งแต่ทศวรรษ 1920 เป็นต้นมา
               ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลานี้เป็นหมุดหมายของการก่อร่างของระบบรัฐสภาของออสเตรียในฐานะสถาบันการเมือง

               ที่ตั้งมั่นในระบอบประชาธิปไตย ดังเช่นงานของ Erk (2004) ที่อธิบายว่า ในเชิงรูปแบบของรัฐ ออสเตรียเป็น
               สหพันธรัฐในนาม แต่ทางปฏิบัติอาจไม่ได้มีความเป็นสหพันธรัฐอย่างเพียงพอ ผลลัพธ์จากการประกาศใช้

               รัฐธรรมนูญออสเตรีย ค.ศ. 1920 ส่งผลให้ออสเตรียเป็นสหพันธรัฐที่บริหารแบบรวมศูนย์ (centralistic
               federation) เนื่องจากรัฐบาลสหพันธ์มีอ านาจในการริเริ่มเสนอกฎหมาย และยังมีอ านาจไปถึงการก าหนดนโยบาย

               ของมลรัฐโดยมีการตรวบสอบทางตุลาการของมลรัฐ ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดสหพันธรัฐนิยม (federalism) อยู่บนฐาน
               คิดของการการแบ่งแยกอ านาจบริหารการเมือง ขณะที่โครงสร้างระบบรัฐสภาของออสเตรียจะเป็นแบบระบบสอง
               สภา โดยจะมีความสัมพันธ์เชิงอ านาจระหว่างสองสภาที่ไม่เท่าเทียมกันเพื่อให้สอดคล้องไปกับรัฐธรรมนูญแห่ง

               สหพันธ์ โดยที่สภาผู้แทนมลรัฐ (Bundesrat) ในทางปฏิบัติสามารถท าได้เพียงชะลอเวลาในการผ่านกฎหมายของ
               สภาแห่งชาติ (nationalrat) งานของ Erk จึงช่วยชี้ให้เห็นว่า รัฐธรรมนูญออสเตรีย ค.ศ. 1920 เป็นหมุดหมาย

               ส าคัญของการวางการปกครองแบบสหพันธรัฐแบบรวมศูนย์อ านาจ ระบบรัฐสภาที่ออกแบบมาเพื่อรองรับระบบ
               หลักการสหพันธรัฐแบบรวมศูนย์จึงต้องเป็นระบบสองสภาที่มีสภาผู้แทนมลรัฐช่วยตรวจตรากฎหมาย  แต่งานชิ้นนี้
               ยังไม่ได้อภิปรายรูปแบบของการก าหนดอ านาจและหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรออสเตรียไว้อย่างเพียงพอ

               เช่นเดียวกับกับงานของ Sieberer et al. (2011) ที่ศึกษากลไกของการต่อรองในระบบรัฐสภาออสเตรียโดยอิงกับ
               สมมติฐานว่า กติกาของระบบรัฐสภา (parliamentary rules) มีความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบต่อผลลัพธ์ของการ

               ต่อรองทางการเมืองในระบบรัฐสภา นอกจากนั้นงานของ Sieberer ยังช่วยน าเสนอแนวทางในการศึกษาความ
               เปลี่ยนแปลงของระบบรัฐสภาด้วยวิธีการส ารวจสองข้อ ข้อแรกคือ ส ารวจการปฏิรูประบบรัฐสภา และข้อสองเป็น

               การส ารวจความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามข้อเสนอปฏิรูประบบรัฐสภา ข้อสังเกตต่อกรณีศึกษาของสภาแห่งชาติ
               ของออสเตรียในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (หลังปี ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา) จากงานชิ้นดังกล่าวพบข้อค้นพบส าคัญ

               2 ประการ ได้แก่
                       1)  การแก้ไขหรือปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับรัฐสภาจ าเป็นต้องอาศัยเสียง 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภา เมื่อ

                          พิจารณาจากห้วงเวลา ค.ศ. 1945 – 2010 สังเกตได้ว่า มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับรัฐสภาเพียง 12
                          ครั้งเท่านั้น โดยที่ 8 ครั้งเป็นการแก้ไขของรัฐบาลพรรคร่วมระหว่างพรรคการเมืองขนาดใหญ่คือ

                          พรรคสังคมประชาธิปไตยแห่งออสเตรีย (Social Democratic Party of Austria: SPÖ) และพรรค
   54   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64