Page 52 - 23154_Fulltext
P. 52
47
3) ช่วงที่สาม ได้เกิดความพยายามจัดความสัมพันธ์เชิงอ านาจให้อิงกับหลักการกระจายอ านาจมากยิ่งขึ้น
โดยมีทั้งการแบ่งคณะท างาน (Arbeitskreise) ให้ตัวแทนแต่ละพรรคมารวมกันเป็นกลุ่ม Fraktionen
เพื่อรับผิดชอบต่อรองทางการเมืองในประเด็นที่ตัวแทนแต่ละคนสนใจ นอกจากนั้นบางพรรค
การเมืองได้อาศัยการประสานความสัมพันธ์กับองค์กรภายนอกสภาเพื่อสนับสนุนในการสร้าง
ดุลอ านาจของการต่อรองทางการเมืองสภา ตัวอย่างเช่นกรณีของพรรค Greens และพรรค PDS ที่รับ
เป็นสื่อกลางน าข้อเสนอของสหภาพแรงงานเข้ามาผลักดันในรัฐสภา ส่งผลให้ช่วงเวลา ค.ศ.1983-
1998 พรรค Greens และ PDS ได้ผลักดันยื่นญัตติเสนอแก้ไขกฎหมายไปแล้วกว่า 39 ครั้งแม้ว่าจะไม่
ประสบความส าเร็จในการผ่านกฎหมายจากเสียงข้างมากในสภาแต่ก็สะท้อนให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์
เชิงอ านาจที่มีการกระจายอ านาจการผลักดันวาระการประชุมโดยพรรคขนาดกลางได้มากยิ่งขึ้น
ควบคู่กับการมีพัฒนาการของพื้นที่ต่อรองที่ปรับตัวมาตามกาลเวลา
ในด้านความเป็นพหุนิยมประชาธิปไตยของรัฐสภาเยอรมันหลังทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา ปรากฏข้อ
ถกเถียงว่า พรรคการเมืองในรัฐสภามีความหลากหลายเพียงพอที่จะสะท้อนว่าเกิดความพหุนิยมทางการเมืองใน
รัฐสภาเพียงใด ในงานของ Roberts (2006) อธิบายว่า “ระบบเลือกตั้ง” ของเยอรมันเองที่เป็นอุปสรรคต่อความ
หลากหลายของการเกิดพรรคการเมืองในรัฐสภา ซึ่งปัจจัยส าคัญคือ ระบบเลือกตั้งที่ก าหนดเพดานคะแนนขั้นต่ า
(threshold) ที่ต้องได้จ านวนไม่น้อยกว่า 5% ของคะแนนเสียงทั้งหมดจึงจะสามารถได้รับการจัดสรรที่นั่งแบบ
บัญชีรายชื่อ สังเกตได้จากนับตั้งแต่ ค.ศ. 1961 พรรคการเมืองขนาดเล็ก 2 พรรคเกือบจะไม่ได้รับเลือกตั้งเข้าสภา
ไปเพราะระบบเลือกตั้งไม่อ านวยต่อพรรคเล็ก ทั้งพรรค Greens ในปี ค.ศ. 1990 หรือพรรคสังคมนิยม
ประชาธิปไตย (Party of Democratic Socialism: PDS) ในปี ค.ศ. 2002 ในขณะที่พรรคการเมืองอีกจ านวนมาก
ที่เคยมีอยู่ก่อน ค.ศ. 1961 ไม่ได้รับคะแนนเสียงเพียงพอในระดับเขตอีกเลย ไม่ว่าจะพรรคสหภาพประชาชน
เยอรมัน (German People's Union: DVU) ในเขตเบรเมน หรือพรรค Republicans (REP) ในเขตเบอร์ลิน และ
เขตบาเดิน-วัตทืมเบิร์ก เป็นต้น
จากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของระบบรัฐสภาเยอรมัน ประเด็นของระบบเลือกตั้งของเยอรมนีใน
ปัจจุบันจึงสะท้อนให้เห็นทางแพร่งอุปสรรคจากความพยายามสร้างความพหุนิยมประชาธิปไตยควบคู่ไปกับการ
ป้องปรามพรรคการเมืองสุดโต่งที่จะเข้ามาท าลายภราดรภาพทางการเมือง ดังเช่นประสบการณ์ทางการเมืองของ
เยอรมนีในอดีต ทว่ากลับส่งผลในมุมกลับคือ การท าให้พรรคขนาดเล็กที่สะท้อนอัตลักษณ์ของกลุ่มทางสังคมขนาด
เล็กก็เกิดขึ้นได้ตามไปด้วย อีกทั้งยังส่งผลให้กลไกการตั้งรัฐบาลเกิดเป็นขั้วอ านาจที่พรรคใหญ่สองพรรค ได้แก่
พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนแห่งเยอรมนี (Christian Democratic Union of Germany: CDU) และ
พรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนี (Social Democratic Party of Germany: SPD) ทั้งสองพรรคสามารถจับ
มือเป็นพันธมิตรตั้งรัฐบาลกับพรรคขนาดกลางอีก 2-3 พรรคเพื่อสามารถตั้งรัฐบาลได้ ในแง่ของประสบการณ์ทาง
การเมืองของเยอรมันแล้ว กล่าวได้ว่า การท าให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่มีความเข้มแข็งและมีเสถียรภาพในการ
ควบคุมรัฐสภานั้นเป็นไปเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางการเมืองจากการที่รัฐสภาไม่สามารถท าหน้าที่ได้ ขณะเดียวกันก็