Page 51 - 23154_Fulltext
P. 51
46
สถาบันทางการเมืองในการอ านวยการแข่งขันจัดสรรผลประโยชน์และแก้ไขความขัดแย้งทางสังคม
ซึ่งในแง่นี้สังเกตได้ว่า ความสัมพันธ์เชิงอ านาจของระบบรัฐสภาเยอรมันเปลี่ยนไปจากยุคเยอรมันไว
มาร์ที่รวมศูนย์อ านาจตัดสินใจไว้ที่ประธานาธิบดี สอดคล้องกับข้อสังเกตของ Jörke and Llanque
(2018) ว่าระบบรัฐสภาในช่วงทศวรรษ 1950 ถึง 1960 มีความพยายามผสานแนวคิดพหุนิยม
ประชาธิปไตยจากหลากหลายกลุ่มทางสังคมเข้ามาเพื่อคานกับแนวคิดเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวที่เป็น
ตัวแทนปวงชนซึ่งน ามาสู่การรวมศูนย์อ านาจประธานาธิบดีเช่นในอดีตที่ผ่านมา ดังนั้นยุคหลัง ค.ศ.
1968 จึงเป็นความพยายามเปลี่ยนรูปให้ระบบรัฐสภากลายเป็นพื้นที่สนทนาแลกเปลี่ยน (sphere of
communication) ไม่เพียงแต่แสดงความโปร่งใสของการประชุมสภา หากแต่ยังเสริมในบทบาทของ
ตัวกลางในการสื่อสารกับประชาชนเพื่อสะท้อนการท างานอย่างโปร่งใสของสภา อย่างไรก็ตาม ราคา
ที่ต้องจ่ายส าหรับความโปร่งใสของรัฐสภาเยอรมันก็ต้องแลกมาด้วยความล่าช้าในถกเถียงญัตติของ
ฝ่ายนิติบัญญัติ
ในด้านพัฒนาการของการท างานของรัฐสภาเยอรมัน Loewenberg (2003) ได้เสนอข้อถกเถียงเรื่อง
พัฒนาการของระบบรัฐสภาเยอรมัน โดยเน้นเรื่อง “การก าหนดวาระการประชุมสภา” ภายใต้สมมติฐานว่า
ผลลัพธ์ของการลงคะแนนเสียงในรัฐสภาแปรผันตามธรรมชาติของกลไกของสถาบันการเมือง โดยแบ่งช่วงของ
พัฒนาการของความสัมพันธ์เชิงอ านาจของระบบรัฐสภาเยอรมันออกเป็นสามช่วงด้วยกัน ได้แก่
1) ช่วงแรก จุดตั้งต้นของความเป็นสถาบันการเมืองของกลุ่มพรรคการเมือง (Fraktionen) นั้น
Loewenberg เสนอว่ามีจุดเริ่มต้นที่ห้วงเวลาราวทศวรรษ 1850 จากการท างานของสภา
ผู้แทนราษฎรปรัสเซีย ซึ่งความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่เกิดจากการต่อรองระหว่างผู้น าทางการเมืองกับ
คณะกรรมาธิการเพื่อให้สอดคล้องกับความประสงค์แห่งรัฐสภา จนช่วงเวลาทศวรรษ 1960s จึงเกิด
สถาบันที่ไม่เป็นทางการที่เรียกว่า “Seniorenkonvent” เป็นที่ประชุมของตัวแทนพรรคการเมืองละ
1 คน เพื่อเป็นพื้นที่ให้แต่ละพรรคมาวางเป้าประสงค์ของสภาร่วมกัน เป็นการทดแทนระบบพรรค
การเมืองที่ถูกละเลยความส าคัญจากระบบรัฐสภาในช่วงนั้น ระบบนี้จึงส าคัญต่อการจัดความสัมพันธ์
เชิงอ านาจด้วยการสร้างเวทีต่อรองแม้จะไม่สามารถลงคะแนนเสียงให้มติที่ประชุมมีผลในทางปฏิบัติก็
ตาม
2) ช่วงที่สอง ค.ศ. 1922 สถาบันไม่เป็นทางการทั้ง Fraktionen และ Seniorenkonvent ได้ตั้งให้เป็น
ทางการภายใต้ชื่อ Council of Elders ให้เข้ามาช่วยคัดกรองกฎหมายในรัฐสภาเพื่อให้สอดคล้องกับ
ความประสงค์แห่งรัฐสภา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงสังเกตได้ว่าสองช่วงแรกยังคงเน้นความสัมพันธ์ที่อยู่
บนฐานคิดเรื่องฉันทามติที่รวมศูนย์ไว้กับกลุ่มของผู้ที่ครองอ านาจน าทางการเมือง