Page 50 - 23154_Fulltext
P. 50

45


                       3.3 เยอรมนี

                       พัฒนาการทางประวัติศาสตร์


                       Biefang and Schulz (2018) ได้ส ารวจพัฒนาการของระบบรัฐสภาเยอรมนีในกรอบของการเปลี่ยนผ่าน
               ระบอบการปกครองจากระบอบรัฐธรรมนูญที่กษัตริย์ทรงปกครองสู่ระบอบสาธารณรัฐ โดยสามารถแบ่งออกเป็น

               สามช่วงใหญ่ทางประวัติศาสตร์ ได้แก่


                       1)  ช่วงที่หนึ่ง ระบบรัฐสภาภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญที่ประมุขเป็นกษัตริย์ มีจุดเริ่มต้นราว ค.ศ. 1806
                          เป็นต้นมาที่เริ่มมีการก่อร่างระบบรัฐสภา และการได้ต้นแบบระบบรัฐสภาจากรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส

                          ค.ศ. 1814 ส่งผลให้เกิดระบบรัฐสภาครั้งแรกที่มีกระบวนการนิติบัญญัติพิจารณางบประมาณจากการ
                          จัดเก็บภาษี แต่ไม่มีสิทธิเสนอกฎหมายหรือก าหนดวาระประชุมสภาแต่อย่างใด จนกระทั่งการปฏิวัติ

                          เยอรมัน ค.ศ. 1848 ระบอบการเมืองเปลี่ยนผ่านสู่การปกครองระบบสหพันธรัฐ เกิดเป็นการคาน
                          อ านาจระหว่างฝ่ายขวาที่นิยมกษัตริย์กับฝ่ายปฏิวัติที่ส่งผลต่อระบบรัฐสภาเยอรมันในสามส่วน ได้แก่

                          ส่วนแรก ทางฝ่ายปฏิวัติเสนอแนวคิดก าหนดระบบรัฐสภาขึ้นใหม่เป็น “สภาแห่งชาติเยอรมัน”
                          (German national parliament) โดยอิงกับแนวคิดความเป็นสภาของประชาชน ประกอบกับส่วนที่

                          สอง เกิดสิทธิเลือกตั้งทั่วไปแก่ชายในช่วง ค.ศ. 1849 ทั้งสองส่งผลให้แนวคิดเรื่องพรรคการเมืองก่อ
                          ตัวขึ้นในเยอรมัน ขณะที่ส่วนที่สาม ช่วงทศวรรษ 1860s อ านาจกษัตริย์ได้เข้ามาคานอ านาจฝ่าย
                          ปฏิวัติผ่านต าแหน่งผู้น าของสภาผู้แทนมลรัฐ (Bundesrat) สิ่งที่เกิดในห้วงเวลาที่ยังเป็นระบอบ

                          รัฐธรรมนูญที่กษัตริย์ทรงปกครองจึงยังเป็นการที่กษัตริย์แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี สอดคล้องกับ
                          ค าอธิบายของ Hahn (1980) ที่ตั้งข้อสังเกตว่าระบบรัฐสภาในช่วงเวลานี้ยังขาดทฤษฎีการเมืองที่

                          เชื่อมโยงปณิธานแห่งรัฐสภาเข้ากับอ านาจสมมติเทพของสถาบันกษัตริย์ ระบบรัฐสภาในห้วงเวลานี้จึง
                          ไม่สามารถคานอ านาจกบสถาบันกษัตริย์ได้เลย


                       2)  ช่วงที่สอง ยุคสาธารณรัฐไวมาร์ หลังจากเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบสาธารณรัฐ ค.ศ. 1918 ภายใต้ระบบ
                          การเมืองแบบสาธารณรัฐไวมาร์ ส่งผลสองประการ ได้แก่ อ านาจของประธานาธิบดีสูงมากในระดับที่

                          สามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้เอง เนื่องจากประธานาธิบดีถือเป็นตัวแทนที่ประชาชนเลือกตั้ง
                          มาโดยตรง ในอีกด้านหนึ่ง สภาแห่งชาติไม่ได้ผูกมัดด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญและไม่ได้สะท้อนระบอบ

                          ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาอย่างเพียงพอ เพราะว่าเจตจ านงร่วมของประชาชนในยุคสาธารณรัฐไวมาร์
                          นั้นถือว่าได้สะท้อนผ่านประธานาธิบดี รัฐสภาจึงเป็นเพียงสถาบันการเมืองที่สะท้อนภาพความเป็น

                          ภราดรภาพทางการเมืองเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความส าเร็จในการปฏิรูประบบรัฐสภาเยอรมันเกิดขึ้น
                          ในช่วงภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
                       3)  ช่วงที่สาม ในการเปลี่ยนผ่านระบบรัฐสภาในปี ค.ศ. 1969 เพื่อแก้ไขบทเรียนจากอ านาจ

                          ประธานาธิบดีที่ล้นเกินและรัฐสภาที่ฝ่ายค้านปราศจากอ านาจถ่วงดุล รัฐสภาต้องท าหน้าที่เป็น
   45   46   47   48   49   50   51   52   53   54   55