Page 65 - 23154_Fulltext
P. 65
60
การเมืองมาโดยตลอดจนกระทั่งประสบความส าเร็จครั้งแรกในปี ค.ศ. 1898 ที่ฝ่าย Flemish อนุมัติกฎหมายความ
เท่าเทียมเพื่อริเริ่มให้ภาษาทางการของเบลเยียมมี 2 ภาษา ได้แก่ ฝรั่งเศส และดัตช์ หลังจากนั้นก็มีพัฒนาการ
ส าคัญตามมา ดังเช่น ค.ศ. 1932 ได้ผ่านกฎหมายเพื่อให้ใช้ภาษาหลักสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของท้องถิ่นใน
ประเด็นของการปกครอง กองทัพ กระบวนการยุติธรรม และระบบศึกษา แล้วจึงปรับใช้ให้ภาษาทางการสอดคล้อง
กับอัตลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่นให้ครอบคลุมส าเร็จในปี ค.ศ. 1962 ทั้งนี้สุดท้ายแล้ว ในปี ค.ศ. 1980 จึงได้มีการ
ริเริ่มก่อร่างสถาบันการเมืองที่สอดคล้องกับหลักความเป็นสหพันธรัฐที่เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน เช่นนั้นแล้วจึงกล่าวได้
ว่า ค.ศ. 1980 เป็นหมุดหมายส าคัญส าหรับพัฒนาการของเบลเยียมที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างชาติในฐานะสหพันธรัฐที่มี
กษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากนั้นจึงตามด้วยพัฒนาการก้าวส าคัญอย่าง ค.ศ. 1993 ที่ประกาศชัดเจนในรัฐธรรมนูญ
ถึงสถานะและความส าคัญในความเป็นสหพันธรัฐเบลเยียม
พัฒนาการที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1993 นอกจากจะเป็นก้าวส าคัญของการเป็นสหพันธรัฐเบลเยียมแล้ว ยัง
ส่งผลต่อพัฒนาการระบบรัฐสภาของเบลเยียม งานของ ASGP (1999) ได้อธิบายไว้ว่า ระบบรัฐสภาของเบลเยียมมี
ระบบแบ่งหน้าที่ตามความถนัดมากยิ่งขึ้นใน ค.ศ. 1993 โดยแบ่งออกเป็นพัฒนาการของระบบสภาคู่ดังนี้ สภา
ผู้แทนราษฎร 150 คน มาจากการเลือกตั้งทางตรงใน 20 เขตเลือกตั้ง โดยจ านวนผู้แทนในแต่ละเขตขึ้นอยู่กับ
จ านวนระชากรในแต่ละเขตเลือกตั้งนั้น สภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่ควบคุมบทบาทในด้านนิติบัญญัติ โดยมีปรับปรุง
กฎหมายให้การผ่านกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมทางการเมืองของรัฐบาล รวมถึงควบคุมกฎหมายด้านงบประมาณ
สาธารณะถือเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ขณะที่วุฒิสภากลายเป็นสภาส าหรับการเจรจาของตัวแทน
จากแต่ละชุมชนทางอัตลักษณ์ วุฒิสภามีจ านวน 71 คน โดย 21 คนมาจากการแต่งตั้งของรัฐสภาตามจ านวน
ตัวแทนของวุฒิสภาตามสัดส่วน อันได้แก่ กลุ่มของ Flemish จ านวน 10 คน กลุ่มของ Walloons จ านวน 10 คน
และกลุ่มชาวเยอรมันจ านวน 1 คน อีก 40 คนมาจากการเลือกตั้งของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral colleges) ของ
สัดส่วนชุมชนภาษาฝรั่งเศส 15 คน และสัดส่วนชุนชนภาษาดัตช์ 25 คน ทั้งนี้ 10 คนที่เหลือ มาจากการเสนอชื่อ
ของหน้าที่ของกลุ่มของ Flemish 6 คน และกลุ่มของ Walloons 4 คน ทั้งนี้ทายาทของกษัตริย์เองก็ถือเป็น
วุฒิสมาชิกเมื่ออายุครบ 18 ปี ทว่าไร้อ านาจตัดสินใจทางการเมืองใด วุฒิสภาจึงเป็นสภาในการสะท้อนความ
คิดเห็นที่แตกต่างจากแต่ละกลุ่มอัตลักษณ์ทางภาษาที่มีต่อร่างกฎหมายเพื่อสร้างหลักประกันคุณภาพของกฎหมาย
แต่ละฉบับที่จะประกาศใช้งานไม่ให้เป็นความขัดแย้งต่ออัตลักษณ์อื่นในเบลเยียม
ด้วยเหตุนี้เมื่อพิจารณาระบบรัฐสภาของเบลเยียม สิ่งส าคัญที่พึงพิจารณาเพื่อประเมินระบบรัฐสภาของ
เบลเยียมจึงมีอย่างน้อยใน 2 มิติ ได้แก่
1) มิติด้านการเมืองอัตลักษณ์ เนื่องจากกรณีศึกษาประเทศเบลเยียมมีจุดสังเกตส าคัญในเรื่องของการ
ประนีประนอมความขัดแย้งทางอัตลักษณ์มาเป็นเวลานานตั้งแต่ก่อตั้งรัฐชาติ ระบบรัฐสภาจึงเป็น
กลไกส าคัญที่ช่วยแก้ไขความขัดแย้งด้วยการออกกฎหมายเพื่อพัฒนาความยุติธรรมทางสังคมให้แก่
กลุ่มอัตลักษณ์ที่รู้สึกเสียเปรียบให้ได้รับความเป็นธรรมทางสังคมมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะประเด็นภาษาที่
ส่งผลต่อความยากล าบากในการใช้ชีวิตประจ าวัน
2) การออกแบบระบบรัฐสภาเบลเยียมเป็นระบบสภาคู่ที่ค านึงถึงกลไกที่มีวุฒิสภาจ านวน 71 คน ท า
หน้าที่เป็นตัวแทนของกลุ่มอัตลักษณ์ในแต่ละท้องถิ่นมาเพื่อช่วยตรวจตราร่างกฎหมายในรัฐสภา