Page 84 - 23154_Fulltext
P. 84
79
รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1993 ก าหนดให้รัฐสภาของกัมพูชาเป็นระบบสภาคู่ ประกอบด้วยสภาล่าง คือ สภา
แห่งชาติ และสภาสูง คือ วุฒิสภา อย่างไรก็ตาม บริบททางประวัติศาสตร์การเมืองของกัมพูชาเป็นเรื่องราวของ
ผู้น าทหารอย่างฮุน เซนที่ครองอ านาจน าในการเมืองกัมพูชา โดยมีพรรคการเมืองในการด ารงรักษาอ านาจไว้ คือ
พรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian’s People Party: CPP) ด้วยเหตุนี้ระบบรัฐสภาของกัมพูชาจึงมี
ความสัมพันธ์เชิงอ านาจในลักษณะที่ฮุน เซน เป็นผู้ครองอ านาจน าทางการเมืองในระบบรัฐสภา McCargo (2005)
อธิบายในด้านกลับของรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1993 ที่พยายามจะก าหนดกรอบอ านาจการต่อรองของระบบรัฐสภาให้
เป็นประชาธิปไตยด้วยการตั้งกฎการตั้งรัฐบาลภายใต้เสียงเห็นชอบ 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภา ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ
พรรค CPP ของฮุน เซนยิ่งได้เปรียบไม่ว่าการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะได้คะแนนเสียงเป็นพรรคอันดับหนึ่ง หรือพรรค
อันดับสอง ด้วยกติกาที่รัฐบาลต้องถูกตั้งด้วยเสียงข้างมากพิเศษ อ านาจต่อรองทางการเมืองของฮุน เซน จะมีมาก
เพียงพอที่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรองรัฐมนตรีเสมอ รวมถึงพรรค CPP เองก็มีอ านาจต่อรองเหนือพรรคฟุนซิ
นเปค (National United Front for an Independent, Neutral, Peaceful and Cooperative Cambodia
:FUNCINPEC) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งโดยสมเด็จนโรดม สีหนุ และให้เจ้าชายนโรดม รณฤทธิ์เป็นผู้น าของ
พรรค สังเกตได้จากการเลือกตั้ง ค.ศ. 1993 แม้ว่าจะเป็นชัยชนะของพรรค FUNCINPEC แต่ด้วยกลไกของระบบ
รัฐสภาที่มีเจตนาให้เกิดการต่อรองแบ่งปันผลประโยชน์กับพรรคขนาดกลาง กลับเปิดช่องให้พรรคอันดับรองที่มี
อ านาจน าทางการเมืองเรียกร้องผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพรรค CPP ของฮุน เซนที่มีประสบการณ์ทาง
การเมืองมานาน รวมถึงปี ค.ศ.1997 ที่ฮุน เซนใช้ช่องทางของรัฐสภาในการรัฐประหารด้วยกลไกสภาให้เจ้าชายรณ
ฤทธิ์พ้นจากต าแหน่งนายกรัฐมนตรีเช่นกัน ส่งผลให้พรรค CPP ของฮุน เซนมีความสัมพันธ์เชิงอ านาจครอบง าโดย
พฤตินัยต่อรัฐสภาและการเมืองกัมพูชา
ในท านองเดียวกัน Croissant (2016) อธิบายว่า ความสัมพันธ์เชิงอ านาจภายในรัฐสภากัมพูชานั้นอยู่
ภายใต้ของอิทธิพลของฮุน เซน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในพรรค CPP เองที่ต้องปฏิบัติตามความต้องการทางการ
เมืองของผู้น าพรรคอย่างเคร่งครัด เนื่องจากการออกแบบระบบเลือกตั้งให้มีระบบบัญชีรายชื่อแบบปิด (closed-
list system) กล่าวคือ หัวหน้าพรรคเป็นผู้เลือกรายชื่อของ ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรค ส่งผลให้สมาชิกพรรคที่มี
พฤติกรรมในกิจกรรมของรัฐสภาไม่เป็นไปตามที่ฮุน เซนต้องการ จะส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองของผู้ที่ฝ่าฝืนนั้น
ด้วยการน าออกจากรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ในภายภาคหน้า นอกจากนั้น ส.ส. ในสัดส่วนตัวแทนแม้ว่าจะได้เข้าไปเป็น
ตัวแทนในสภามากขึ้นจากรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1993 แต่ทว่าพวกเขาเหล่านั้นยังคงไม่มีความส าคัญเทียบเท่ากับความ
ต้องการผลประโยชน์ของฮุน เซนเอง
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ ค.ศ. 1993 เป็นต้นมา การต่อรองทางการเมืองเป็นไปในลักษณะที่พรรค CPP
ของฮุน เซนใช้อ านาจน าทางการเมืองควบคุมพฤติกรรมทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามให้เป็นไปตามที่ต้องการ ซึ่ง
Peou (2018) เรียกว่า “วัฒนธรรมสานเสวนา” (culture of dialogue) จนกระทั่งเกิดการเลือกตั้ง ค.ศ. 2013
Peou สังเกตว่า วัฒนธรรมการเมืองในการครอบง าการเมืองของฮุน เซนมีความเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ใช้
ความรุนแรงกดดันฝ่ายค้านมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุที่คะแนนเสียงที่ได้รับเลือกตั้งของพรรค CPP น้อยลงอย่างมี
นัยส าคัญเหลือเพียง 68 ที่นั่งจากสมัยที่แล้ว 90 ที่นั่ง ตรงข้ามกับพรรคกอบกู้ชาติกัมพูชา (Cambodian National
Rescue Party: CNRP) ที่ลงแข่งขันและได้นั่งไปมากถึง 55 ที่นั่ง ส่งผลให้พรรค CPP ใช้การกดดันด้วยความรุนแรง

