Page 32 - 23154_Fulltext
P. 32
27
ท าหน้าที่ของรัฐสภาด้วย ซึ่งหมายความถึงเอกสิทธิ์ขององค์กร 2) ปัญหาความเข้าใจในหลักการแบ่งแยกอ านาจ
โดยรัฐสภาไม่มีเครื่องมือในการป้องกันตัวเองจึงท าให้หน่วยงานอื่นๆเข้ามาแทรกแซงการท างานของฝ่ายนิติบัญญัติ
ส่งผลต่อหลักการแบ่งแยกอ านาจที่ต้องพังทลายลงไป 3) ปัญหาในการท าหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพของรัฐสภา
ไทย ท าให้รัฐสภาไม่มีอ านาจในการปกป้องตัวเองจึงท าให้ไม่สามารถท าหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4) ปัญหาใน
การออกแบบรัฐธรรมนูญไทย โดยหากรัฐธรรมนูญมีปัญหาในเรื่องการจัดวางดุลอ านาจที่เหมาะสม ท าให้องค์กรอื่น
สามารถใช้อ านาจเข้าไปแทรกแซงการท างานขององค์กรนิติบัญญัติไม่ได้
ข้อเสนอแนะของงานวิจัยประกอบไปด้วย ข้อเสนอระยะสั้น มีกฎหมายที่รับรองแนวคิดและหลักการว่า
ด้วยการละเมิดอ านาจรัฐสภา โดยครอบคลุมเอกสิทธิ์ขององค์กร มีการด าเนินการตรากฎหมายเฉพาะว่าด้วยเอก
สิทธิของรัฐสภา มีคณะกรรมาธิการว่าด้วยเอกสิทธิของรัฐสภา มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อให้
สอดคล้องกับแนวคิดและหลักการว่าด้วยการละเมิดอ านาจรัฐสภา และข้อเสนอระยะยาว ให้มีการท าความเข้าใจ
แนวคิดการละเมิดอ านาจรัฐสภา และมีการทบทวนกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว
เห็นได้ว่า พรสันต์เน้นว่าปัญหาของรัฐสภาไทยมาจากการที่รัฐสภาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ไม่ว่าจะ
เป็นเรื่องของการไม่เข้าใจแนวคิด และการไม่มีกลไกที่จะป้องกันตนเอง การท าความเข้าใจดังกล่าวนี้มีข้อดีคืออาจ
น าไปสู่ข้อเสนอให้รัฐสภามีเอกสิทธิ์ในรูปแบบขององค์กร แต่แนวคิดหรือกลไกนี้ละเลยศักยภาพหรือบทบาทของ
พรรคการเมือง ซึ่งเป็นกลไกที่ส าคัญยิ่งในประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา การท างานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน
รัฐสภาที่ปราศจากการผลักดันแบบกิจกรรมรวมหมู่ (collective action) ของพรรคการเมือง ย่อมไม่สามารถที่จะ
ท าให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้มแข็งได้ นอกจากนี้ฐานคิดของระบบรัฐสภาในประเทศไทยไม่ได้เป็นระบบ
แบ่งแยกอ านาจแบบเด็ดขาด (separation of powers) ดังนั้นการที่มองว่าแนวคิดนี้จะช่วยให้รัฐสภาท าหน้าที่
แบบ
งานศึกษาระบบรัฐสภาในเชิงโครงสร้างและอ านาจหน้าที่
ส าหรับงานศึกษาเรื่องระบบรัฐสภาในเชิงโครงสร้างและอ านาจหน้าที่เป็นประเภทที่มีจ านวนอยู่พอสมควร
ตัวอย่างของงานศึกษาประเภทนี้ คือ นันทวัฒน์ บรมานันท์ (2554) เรื่องการปรับโครงสร้างรัฐสภา ซึ่งได้
ท าการศึกษาโครงสร้างของระบบรัฐสภา และได้เสนอระบบรัฐสภาที่เหมาะสมส าหรับประเทศไทยไว้ว่า ในส่วนที่
เกี่ยวกับองค์ประกอบและวิธีการได้มานั้น ได้ก าหนดจ านวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีจ านวน 500 คนโดยมา
จากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจ านวน 100 คน โดยให้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้งและไม่มีการก าหนดจ านวน
คะแนนขั้นต่ าของบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองเหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 และสมาชิกมาจากการเลือกตั้งแบบ
แบ่งเขตเลือกตั้งและ 1 คนจ านวน 400 คนโดยเป็นการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้มีผู้แทนราษฎรได้เขตละ 1
คน ซึ่งวิธีการนับคะแนนให้กลับไปใช้วิธีการนับคะแนนตามรัฐธรรมนูญปี 2540 โดยนับคะแนนของทุกหน่วย
เลือกตั้งรวมกัน นอกจากนี้ยังยกเลิกข้อห้ามในการห้ามหาเสียงในการเลือกตั้งบางประการ เพื่อลดอิทธิพลของ
หัวคะแนน และไม่มีข้อบังคับในการสังกัดพรรคการเมืองของผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ยังสนับสนุนระบบพรรค