Page 31 - 23154_Fulltext
P. 31
26
งานชิ้นต่อมาคือ Stern (2006) ซึ่งศึกษาบทบาทของสภาผู้แทนราษฎรระหว่างปี ค.ศ. 1997 – 2002
ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ใน 3 ด้าน ได้แก่ งานนิติบัญญัติ, คณะกรรมาธิการ, และการ
สนับสนุนงานของสภาผู้แทนราษฎร ข้อถกเถียงส าคัญที่งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการน าเสนอ คือ รัฐสภาของไทยได้
เปลี่ยนบทบาทจองตนเองจากการเป็นแต่เพียง “สภาตรายาง” ที่ไม่ได้มีบทบาทส าคัญในทางการเมือง ไปสู่สถาบัน
การเมืองที่มีอิทธิพลอย่างแท้จริงในกระบวนการออกแบบนโยบายและน านโยบายไปปฏิบัติ งานศึกษาชิ้นนี้พบว่า
การท าให้กลุ่มผลประโยชน์ที่หลากหลายเข้ามามีส่วนร่วมในสถาบันนิติบัญญัติมากขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการ
และความเปลี่ยนแปลงของรัฐสภาไทย ซึ่งความเปลี่ยนแปลงในรัฐสภานี้ Stern เสนอว่าถูกขับเคลื่อนด้วยการมี
ส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยพรรคการเมืองหรือการปฏิรูประบบเลือกตั้ง
งานภาษาอังกฤษอีกชิ้นหนึ่งที่ศึกษาเรื่องระบบรัฐสภาของไทยคือ Siripan (2013) ซึ่งศึกษาความอ่อนแอ
ของระบบรัฐสภา โดยในงานชิ้นนี้ได้เสนอว่า ความอ่อนแอของรัฐสภาไทยนั้นในด้านหนึ่งเชื่อมโยงกับความขัดแย้ง
ระหว่างรัฐสภากับพรรคการเมือง และในอีกด้านหนึ่งก็เชื่อมโยงกับความขัดแย้งระหว่างกองทัพและชนชั้นน าใน
สังคม นอกจากนี้ รัฐสภาของไทยไม่เคยเป็นพลังที่ต่อต้าน (opposing force) ระบอบเผด็จการทหาร หรือเป็นหลัก
ยึดในระบอบประชาธิปไตย งานชิ้นนี้เป็นการย้ าให้เห็นข้อถกเถียงดั้งเดิมของรัฐสภาไทยว่าไม่ได้เป็นสถาบัน
การเมืองที่มีความส าคัญในการเมืองไทย ไม่ได้เป็นศูนย์กลางของอ านาจและการตัดสินใจทางการเมือง
งานศึกษาระบบรัฐสภาภาษาไทย
จากการส ารวจงานศึกษาว่าด้วยระบบรัฐสภาของไทยนั้น สามารถจัดกลุ่มงานศึกษาได้ 3 ประเภท ได้แก่
1) งานศึกษาเชิงแนวคิด 2) งานศึกษาในเชิงโครงสร้างและอ านาจหน้าที่ 3) งานศึกษาในเชิงประสิทธิผล
งานศึกษาเชิงแนวคิด
เป็นงานศึกษาเรื่องระบบรัฐสภาภาษาไทยที่ยังมีอยู่อย่างจ ากัด ตัวอย่างของงานในลักษณะนี้ คืองานของ
พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย (2558) เรื่องแนวคิดและหลักการว่าด้วยการละเมิดอ านาจรัฐสภา โดยพรสันต์ได้อธิบายถึง
แนวความคิดและหลักการว่าด้วยการละเมิดอ านาจรัฐสภาไว้ว่า ที่ผ่านมา รัฐสภาไทยต้องพบกับอุปสรรคต่าง ๆ ที่
ท าให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตรงตามที่รัฐธรรมนูญได้มอบหมายไว้ เช่น การไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน
ต่างๆทั้งภายในและภายนอกหรือการแทรกแซงกิจการของรัฐสภาจากหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ เพื่อที่จะ
ส่งเสริมให้รัฐสภาสามารถท าหน้าที่นิติบัญญัติได้มีประสิทธิภาพจึงได้เกิดไกลที่แก้ไขปัญหาความล้มเหลวในการ
ปฏิบัติภารกิจของรัฐสภาผ่านหลักการทางกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยหลักการการละเมิดอ านาจรัฐสภาที่ให้
รัฐสภาลงโทษแก่บุคคลใดๆที่มีการกระท าอันเป็นการขัดขวางการท าหน้าที่ของรัฐสภาได้ โดยในปัจจุบันประเทศ
สหรัฐอเมริกาอังกฤษและแคนาดาได้มีกลไกดังกล่าวท าให้มีฝ่ายนิติบัญญัติที่เข้มแข็งและท างานได้มีประสิทธิภาพ
งานวิจัยฉบับนี้น าเสนอว่าประเทศไทยยังไม่มีหลักการที่ว่าด้วยการละเมิดอ านาจรัฐสภาท าให้เกิดปัญหา
ดังต่อไปนี้ 1) ความคลาดเคลื่อนของแนวคิดและหลักการที่ว่าด้วยเอกสิทธิ์ของรัฐสภา คือคนมักจะเข้าใจว่าเอก
สิทธิ์ของรัฐสภาคุ้มครองแต่สมาชิกรัฐสภา (เอกสิทธิ์ของบุคคล) แต่ที่จริงแล้วจะต้องครอบคลุมถึงการคุ้มครองการ