Page 35 - 23154_Fulltext
P. 35

30


                       งานวิจัยฉบับนี้ให้ข้อเสนอว่า วุฒิสภามีความจ าเป็นต่อระบบการเมืองของไทย ในฐานะองค์กรที่สร้าง

               สมดุลแห่งอ านาจ ทั้งในมิติของฝ่ายนิติบัญญัติและหน้าที่และอ านาจในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการตรวจสอบการใช้
               อ านาจรัฐ แต่สมาชิกวุฒิสภายังคงมีปัญหาในเรื่องของการยอมรับในเรื่องของที่มา โดยเฉพาะการที่ถูกมองว่าเป็น
               เครื่องมือการสืบทอดอ านาจของ คสช. อันส่งผลต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

               บทบาทตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่ให้หน้าที่และอ านาจเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศและการลงคะแนน
               เลือกนายกรัฐมนตรี


                       ในการบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าววุฒิสภาต้องมีความเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรค
               การเมืองใด ๆ ไม่ใช้สถานะหรือต าแหน่งสมาชิกวุฒิสภาท าการอันมีลักษณะเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อ

               ผลประโยชน์ของตนเอง ผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นทางตรงและทางอ้อม ทั้งยังต้องมีความเป็นอิสระ
               และมีความกล้าหาญทางการเมือง ธ ารงไว้ซึ่งความเป็นกลางและมีธรรมาภิบาลในการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงต้อง
               ตรวจสอบการใช้อ านาจของหน่วยงานตามที่กฎหมายก าหนดเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนสูงสุด รับฟังปัญหา

               ของประชาชน พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
               และยึดมั่นในหน้าที่ของตนโดยถือประโยชน์ของส่วนร่วมเป็นที่ตั้ง


                       จะเห็นได้ว่างานศึกษาว่าด้วยระบบรัฐสภาของไทยจะมีลักษณะการใช้แนวพินิจแบบนิติศาสตร์ (legal
               approach) เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีอีกหนึ่งตัวอย่างของงานศึกษาระบบรัฐสภาของไทยในลักษณะนิติบัญญัติศึกษา

               (legislative studies) โดยใช้กรอบแนวคิดอนาคตศึกษา (future studies) โดยศึกษาอดีตเพื่อคาดการณ์ฉากทัศน์
               ในอนาคต ตัวอย่างงานในลักษณะนี้ คือ ตระกูล มีชัย และชมพูนุท ตั้งถาวร (2563) ที่ศึกษาอนาคตและฉากทัศน์
               การเมืองไทยเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ในมิติของสถาบันการเมือง ได้แก่ รัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

               และสมาชิกวุฒิสภา โดยศึกษาบทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในบทบาทหลักสองบทบาท คือ บทบาทในการ
               ควบคุมการบริหารราชการ และบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติ โดยในส่วนของการควบคุมการบริหารราชการ

               นั้น ได้ศึกษาการตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งที่เป็นกระทู้ถามทั่วไปและกระทู้ถามด่วนรวมทั้งการ
               เสนอญัตติและญัตติด่วน การตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาและการตั้งกระทู้ถามเฉพาะที่ก าหนดตามรัฐธรรมนูญ และ

               การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งจากการศึกษาการการตั้งกระทู้ถามและญัตติตั้งแต่
               พ.ศ. 2475 -2563 นั้นมีหลายประเด็น ซึ่งขึ้นอยู่กับปัญหาบ้านเมืองความขัดแย้งทางการเมือง และเรื่องของปัญหา

               ในการบริหารทรัพยากร แต่ในส่วนของการตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาและกระทู้ถามแยกเฉพาะนั้นพบว่า
               นายกรัฐมนตรีมักจะหลีกเลี่ยงการตอบกระทู้ถามสดมักมอบให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีมาตอบกระทู้ถาม
               แทนมีการเลื่อนตอบกระทู้ถามโดยอ้างว่าติดราชการส าคัญสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ตั้งกระทู้ถามโดยเฉพาะอย่าง

               ยิ่งในเรื่องทางนโยบายที่ต้องการฟังค าอธิบายจากผู้รับผิดชอบโดยตรง เวลาในการตอบกระทู้ถามสดน้อยเกินไป

                       ในส่วนของการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ส่วนใหญ่ไม่สามารถท าให้รัฐมนตรีนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี

               ต้องออกจากต าแหน่งได้ ภายหลังการลงมติไม่ไว้วางใจแล้วก็มักจะเกิดการสับเปลี่ยนหรือการปรับคณะรัฐมนตรี
               เกิดความไร้เสเสถียรภาพในรัฐบาลรวมถึงอาจจะท าให้เกิดการยุบสภาได้ ทั้งนี้ผู้วิจัยเสนอว่า ควรขยายระยะโอกาส
               ในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทั้งสมัยประชุมสภาทั่วไปและประชุมนิติบัญญัติ โดยให้ยื่นญัตติได้ปีละ 3 ครั้ง
   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39   40