Page 25 - 23154_Fulltext
P. 25
20
ในทางปฏิบัติแล้ว ไพโรจน์อธิบายต่อไปว่า "ลัทธิแห่งระบอบการปกครองโดยรัฐสภามีอยู่ว่าไม่ว่ารัฐบาล
หรือรัฐสภา" จะต้องไม่มีอ านาจบังคับบัญชาเหนือนานตลอดไป และการสมดุลระหว่างสถาบันทั้งสองอย่างนี้จะ
ได้รับการประกันจากการควบคุมเป็นประจ าของมติมหาชน ในบางครั้งจึงมีการเรียกระบอบรัฐสภาว่าเป็น "รัฐบาล
โดยมติ (มหาชน) (opinion) ซึ่งสมดุลนี้ไม่ง่ายเหมือนบนแผ่นกระดาษ เพราะในทางปฏิบัติเป็นเรื่องการสมดุลถึง
สามฝ่าย ได้แก่ รัฐสภาที่ได้รับเลือกตั้งมา ประมุขแห่งรัฐ และคณะรัฐมนตรี
วิษณุ เครืองาม (2530: 253-263) และพรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย (2558: 48-50) อธิบายว่าระบบรัฐสภามี
ลักษณะ 6 ประการ ได้แก่
1) ไม่ยึดหลักการแบ่งแยกอ านาจอย่างเคร่งครัด นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอาจมีที่มาจากการเป็น
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ย่อมไม่ใช่เกิดจากการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง
2) ประมุขของรัฐเป็นคนละคนกับหัวหน้ารัฐบาล โดยหัวหน้ารัฐบาลคือนายกรัฐมนตรี และประมุขของ
รัฐมักเป็นพระมหากษัตริย์
3) ประมุขของประเทศไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เนื่องจากประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาลเป็นคน
ละคน บรรดาการกระท าของประมุขของรัฐจะต้องไม่ใช่การกระท าในทางการเมือง และไม่กระท าใน
นามของตนเอง ในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การลงพระปรมาภิไธยในเรื่องต่างๆ ต้องมี
การรับสนองพระบรมราชโองการ
4) สภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน และรัฐบาลมาจากความไว้วางใจของสภา รัฐสภาเป็น
ศูนย์กลางแห่งอ านาจทางการเมือง เป็นสถาบันเดียวที่มีที่มาจากประชาชนโดยตรงและท าหน้าที่ต่างๆ
แทนประชาชน เสถียรภาพของรัฐบาลตั้งอยู่บนพื้นฐานความไว้วางใจของรัฐสภา
5) สภามีอ านาจควบคุมการท างานของรัฐบาล รัฐสภามีอ านาจในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
เช่น ตั้งกระทู้ถาม หรือการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล
6) รัฐบาลเสนอให้ประมุขของรัฐยุบสภาได้ ในขณะที่สภาอาจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือตั้งกระทู้ถามได้
นายกรัฐมนตรีก็อาจเสนอให้ประมุขของรัฐยุบสภาได้เช่นกัน
จิรากิตติ์ แสงลี (2563: 89) อธิบายว่าระบบรัฐสภามีลักษณะพื้นฐานร่วมกัน 3 ประการ ได้แก่
1) ฝ่ายบริหารเป็นฝ่ายบริหารแบบอ านาจคู่ อันประกอบด้วยประมุขของรัฐและคณะรัฐมนตรี
2) ฝ่ายบริหารอาจใช้กลไกทางรัฐธรรมนูญในการยุบสภาได้
3) นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีต้องมีความรับผิดชอบทางการเมืองต่อสภา