Page 22 - 23154_Fulltext
P. 22
17
ในการศึกษาหลักการอ านาจสูงสุดเป็นของรัฐสภา (parliamentary sovereignty) นั้น Palonen (2016)
ได้ท าการวิเคราะห์รวบรวมแนวคิดที่ต่อต้านการเมืองในระบบรัฐสภา (anti-parliamentary) เพื่อที่จะท าให้เห็นอีก
ด้านหนึ่งของหลักการอ านาจสูงสุดของรัฐสภาได้ดีขึ้น โดยอธิบายว่า ระบบรัฐสภาประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 4
ประการ ได้แก่ การเป็นตัวแทน (representation) การถกแถลงพูดคุย (deliberation) ความรับผิดชอบ
(responsibility) และการมีอ านาจสูงสุด (sovereignty) โดยระบบรัฐสภาแบบอังกฤษหรือระบบเวสมินสเตอร์
(Westminster) นั้นเป็นระบบที่เปิดพื้นที่ที่ให้ตัวแทนของอ านาจ 2 ฝ่ายคือฝ่ายที่มีอ านาจเก่า (เช่น กษัตริย์) และ
ฝ่ายที่ต้องการช่วงชิงอ านาจ (เช่นสภาขุนนาง) มาพูดคุยถกแถลง (deliberate) กัน แนวคิดเกี่ยวกับระบบรัฐสภา
และกระบวนการต่างๆในรัฐสภาได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในศตวรรษที่ 16-17 และถูกท าให้เป็นแบบแผนมากขึ้นโดย
John Hatsell ในช่วงศตวรรษที่ 18 และต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้มีการขยายพื้นฐานของการเป็นตัวแทนและ
ให้รัฐบาลมีความรับผิดชอบต่อรัฐสภาเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการของรัฐสภา และให้สถานภาพของ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทน (representation) มากกว่าแค่ผู้แทน (delegation)
ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ได้น าแนวคิดรัฐสภาอังกฤษมาใช้ทั้งหมด น ามาแต่ว่ารัฐสภาอยู่ภายใต้อ านาจ
อธิปไตยของประชาชน ต่อมาในสมัยรัฐสภาสเปน อิตาลี และเยอรมนี รูปแบบของรัฐสภาได้รับอิทธิพลมาจากทั้ง
ฝรั่งเศสและอังกฤษและความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 ระบบ ได้วิวัฒนาการไปตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและ
ปัญหาของประเทศที่แต่ละประเทศต้องประสบ โดยแนวคิดต่าง ๆ เหล่านี้ประกอบไปด้วย
แนวคิดที่หนึ่ง เชื่อว่า มีการประชุมในลักษณะของรัฐสภาแต่ไม่ใช่ในลักษณะของการเป็นตัวแทน คือจะ
เป็นพื้นที่ที่มีมีการพูดคุย ถกแถลงกัน โต้เถียงกันเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ในลักษณะเดียวกับที่สมาชิกรัฐสภาได้
พูดคุยถกแถลงกัน แต่สมาชิกของที่ประชุมนั้นไม่ได้เป็น “ตัวแทน” ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการถกแถลงพูดคุย
เจรจาต่อรองเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตนเอง
แนวคิดที่สองคือ มีลักษณะของการเป็นตัวแทนแต่ไม่ใช่รัฐสภา เช่น ระบบกิล (guilds) และ คณะสโมสร
(corporations) ในสมัยยุคกลาง ซึ่งเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ได้วิวัฒนาการมาจนเรียกว่ากลุ่มองค์กรแบบใหม่ (neo-
corporate) เช่น อิตาลียุคมุสโสลินี กลุ่มอึชตาดูโนวู (Estado Novu) หรือระบอบเผด็จการชาตินิยมในโปรตุเกส
โดยซาลาซาร์ (Salazar) และยุค Ständestaat ในประเทศออสเตรีย เป็นต้น
แนวคิดที่สามคือ แนวคิดที่ไม่เชื่อว่าจะมีการเป็นตัวแทนเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงสนับสนุนลักษณะการเป็น
รัฐบาลทางตรง (direct government) แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากรุสโซ่ที่อธิบายว่า “ไม่มีทางที่ใครสักคนจะ
เป็นตัวแทนของคนอื่นได้” และ Moritz Rittinghausen (1851) ที่อธิบายแนวคิดประชาธิปไตยทางตรงในการ
ปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1848 แนวคิดนี้ต่อยอดมากจากแนวคิดการเป็นตัวแทนแต่ไม่ใช่รัฐสภาข้างต้น และคล้ายกับ
แนวคิดคณะสโมสร ที่อธิบายว่าพื้นที่ของการพูดคุยไม่ได้มาจากการเป็นตัวแทนของประชาชน
แนวคิดที่สี่ และเป็นแนวคิดที่ต่อยอดออกไปอีกมากก็คือ ตัวแบบคอมมูน (Commune Model) เป็น
แนวคิดที่มีที่มาจากมาร์กซิสม์ และซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งจากแนวคิดรัฐบาลทางตรง แนวคิดนี้มองว่า