Page 202 - 23154_Fulltext
P. 202

197


                       เมื่อพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แล้ว โดยหลัก

               กระบวนการร่างด าเนินไปตามข้อก าหนดที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549 ส่งผลให้ คปค. ที่ได้มีการ
               รัฐประหารยึดอ านาจไว้นั้นสามารถครอบง ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญผ่านทั้งอ านาจแต่งตั้งและควบคุมการ
               ท างานของสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมัชชาแห่งชาติ รวมถึงคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นด้วยบริบท

               ทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังกระแสของการต่อต้านนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งมีอ านาจทางบริหารที่สูงขึ้น
               จากอิทธิพลของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เป็นเหตุให้การท างานยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่สมาชิกส่วนใหญ่เป็น

               ข้าราชการระดับสูงและนักวิชาการ ได้ท างานยกร่างผลักดันรัฐธรรมนูญที่มีคุณสมบัติเปิดโอกาสให้ตัวแทนของพลัง
               ของราชการสามารถกลับเข้าไปเป็นตัวแทนในการต่อต้านการเมืองทุจริตด้วยกลไกทางรัฐธรรมนูญ ขณะที่มีข้อ

               วิจารณ์เช่นกันว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 นั้นไม่ได้เป็นการปฏิรูปที่สะท้อนหรือท าเพื่อเจตจ านงของประชาชน
                       ตัวบทของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ก่อให้เกิดการปฏิรูปการเมืองทั้งในแง่ของที่มาของต าแหน่งและ

               ขอบเขตของอ านาจ โดยแบ่งเป็น 5 ส่วนส าคัญ ได้แก่ ส่วนแรกคือ สภาผู้แทนราษฎรเหลือ 480 คนโดยระบบ
               เลือกตั้ง ส.ส. แบบสัดส่วนถูกปรับเป็นบัญชีรายชื่อแบบ 8 กลุ่มจังหวัด กลุ่มละ 10 คน จากเดิมที่เป็นบัญชีที่ใช้ทั้ง
               ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จากนั้นส่วนที่สองคือ วุฒิสภา ได้ปรับที่มาให้แบ่งเป็น มาจากการเลือกตั้ง 77 คน และ

               จากการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการสรรหา 73 คน รวมเป็น 150 คน ส่งผลให้สามารถแต่งตั้งตัวแทนของพลังรัฐ
               ราชการเข้ามาเป็นตัวแทนในการคานอ านาจสภาผู้แทนราษฎรจากภายในระบบได้โดยตรง นอกจากนั้นอ านาจของ

               วุฒิสภาไม่ได้มีเพียงตรวจสอบร่างพระราชบัญญัติจากสภาผู้แทนราษฎรหรือร่วมประชุมทั้งสองสภาในประเด็น
               ส าคัญระดับชาติ หากแต่ยังครองอ านาจส าคัญในการถอดถอนได้ทั้งสภาผู้แทนราษฎรหรือตุลาการได้ผ่านอ านาจ

               พิจารณากรณีทุจิตต่อต าแหน่งหน้าที่ ขณะที่อ านาจส่วนที่สี่ของศาลรัฐธรรมนูญถูกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญมากเพื่อ
               ต่อต้านตัวแทนจากการเลือกตั้งในรัฐสภาผ่านอ านาจตีความตามรัฐธรรมนูญ โดยที่อ านาจทบทวนทางตุลาการนั้น

               กว้างเพียงพอที่จะใช้ตีความการขัดต่อรัฐธรรมนูญได้ทั้งร่างพระราชบัญญัติในกระบวนการนิติบัญญัติ หรือการ
               กระท าใดของภาคประชาชนให้ยุติทันทีเมื่อถูกพิจารณาว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วยังพอ
               สังเกตได้ว่าประชาชนยังคงมีอ านาจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการเข้าชื่อร่วมเสนอร่างพระราชบัญญัติได้

               เช่นเดิม
                       โดยสรุปแล้ว รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มีเจตนารมณ์ส าคัญที่ไม่เพียงตรวจสอบถ่วงดุลทางการเมืองด้วยการ

               เพิ่มตัวแทนจากการแต่งตั้งลงในต าแหน่งวุฒิสภา หรือลดจ านวนสภาผู้แทนราษฎรและปรับให้บัญชีรายชื่ออิงกับ 8
               กลุ่มจังหวัด หากแต่ยังมีเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญในการยับยั้งฝ่ายนิติบัญญัติโดยตรง ไม่ว่าจะผ่านอ านาจถอดถอน

               ฝ่ายการเมืองโดยวุฒิสภา หรืออ านาจทบทวนตุลาการของศาลรัฐธรรมนูญ อ านาจเหล่านี้ในแง่หนึ่งจึงมีผลต่อต้าน
               พลวัตของการเมืองประชาธิปไตยที่พรรคการเมืองเข้มแข็งขึ้นอย่างมีพลวัต สู่การวางกรอบตรวจสอบและถอดถอน

               ให้รอบด้านด้วยอ านาจตามรัฐธรรมนูญในที่สุด
                       9.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557


                       บริบททางการเมือง
   197   198   199   200   201   202   203   204   205   206   207