Page 201 - 23154_Fulltext
P. 201
196
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ ให้ยุติการประท าทั้งปวงที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นยัง
ถือครองอ านาจที่จะสั่งยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรคและกรรมการบริหารพรรคเป็น
เวลา 5 ปีได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้ให้อ านาจทางการเมืองแก่ศาล
รัฐธรรมนูญเป็นอย่างมาก ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นตัวแสดงที่ทรงอ านาจการเมืองพอที่จะสามารถแทรกแซงนิติ
บัญญัติ ไม่ว่าจะเสนอร่างกฎหมายได้เอง สามารถยับยั้งร่างกฎหมายด้วยเหตุแห่งการขัดรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้น
ยังสามารถควบคุมพฤติกรรมทางการเมืองของภาคประชาสังคมได้ยุติได้ลงทันทีหากศาลวินิจฉัยว่าขัดต่อ
รัฐธรรมนูญ
ประการที่ห้า อ านาจมีส่วนร่วมในกระบวนการนิติบัญญัติโดยประชาชน โดยเบื้องต้นประชาชนยังคงมีส่วน
ร่วมในทางการเมืองนิติบัญญัติได้ผ่านมาตราส าคัญในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ ได้แก่
“มาตรา ๑๖๓ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธาน
รัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามที่ก าหนดในหมวด ๓ และหมวด ๕ แห่งรัฐธรรมนูญ
นี้
ค าร้องขอตามวรรคหนึ่งต้องจัดท าร่างพระราชบัญญัติเสนอมาด้วย
หลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อ รวมทั้งการตรวจสอบรายชื่อ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามวรรคหนึ่ง สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต้องให้ผู้แทน
ของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติ
และคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยผู้แทนของ
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นจ านวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจ านวน
กรรมาธิการทั้งหมดด้วย”
“มาตรา 142 ภายใต้บังคับมาตรา 139 ร่างพระราชบัญญัติจะเสนอได้ก็แต่โดย
(4) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจ านวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามมาตรา 163”
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสรุปได้ว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มีเจตนารมณ์ส าคัญในการควบคุมการเมืองผ่าน
การปรับรูปแบบที่มาของฝ่ายนิติบัญญัติอยู่ภายใต้การควบคุมของชนชั้นน าทางการเมืองได้ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ
ปรับระบบสัดส่วนของสภาผู้แทนราษฎรให้กระจัดกระจายแบบกลุ่มจังหวัด หรือการปรับให้วุฒิสภามาจากการ
แต่งตั้งและเลือกตั้งควบคู่กัน อย่างไรก็ตาม อ านาจที่ถูกขยายขอบเขตขึ้นเป็นพิเศษคือ วุฒิสภาที่ไม่เพียงมีอ านาจ
ร่วมพิจารณาในกระบวนการนิติบัญญัติของรัฐสภา หากแต่ยังมีอ านาจถอดถอนสภาผู้แทนราษฎร หรือฝ่ายตุลาการ
ได้ผ่านมาตรา 270 และ 271 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ านาจของศาลรัฐธรรมนูญถูกขยายขอบเขตออกมาอย่างมาก
เป็นพิเศษ ทั้งในด้านของการร่วมเสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภาตามมาตรา 139 (3) หรือ 142 (3) หรืออ านาจ
ทบทวนทางตุลาการเพื่อยับยั้งกรณีขัดต่อรัฐธรรมนูญได้ทั้งร่างพระราชบัญญัติที่เสนอสู่รัฐสภาตามมาตรา 154
หรืออ านาจมาตรา 68 ยับยั้งให้การกระท าของประชาชนที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญต้องยุติทันที
สรุป