Page 200 - 23154_Fulltext
P. 200
195
ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภาหรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้
ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้
นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า
(2) หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้
หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ให้ส่งความเห็นเช่นว่านั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
เพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักช้า
ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ให้นายกรัฐมนตรีระงับการด าเนินการเพื่อ
ประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีค าวินิจฉัย
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือ
ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระส าคัญให้ร่าง
พระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้แต่มิใช่
กรณีตามวรรคสาม ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นอันตกไป และให้นายกรัฐมนตรีด าเนินการตามมาตรา
150 หรือมาตรา 151 แล้วแต่กรณี ต่อไป”
อ านาจทบทวนทางตุลาการจึงสังเกตได้ว่าแม้จะเป็นบทบาทเชิงรับ (passive) ทว่าอ านาจของศาลกลับ
ทรงอิทธิพลมากพอที่จะท าให้ร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภาผลักดันร่วมกันมาเป็นอันตกไปด้วยเหตุแห่งการตีความ
เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังมีการขยายอ านาจในการอ้างอิงขอบเขตของสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตาม
ส่วนที่ 13 มาตรา 68 ดังนี้
“มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอ านาจในการ
ปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระท าการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระท าดังกล่าวย่อมมี
สิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นค าร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้
เลิกการกระท าดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการด าเนินคดีอาญาต่อผู้กระท าการดังกล่าว
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระท าการตามวรรคสองศาล
รัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีค าสั่งยุบพรรคการเมืองตามวรรคสาม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ
หัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบในขณะที่กระท าความผิดตามวรรค
หนึ่งเป็นระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีค าสั่งดังกล่าว”
ด้วยขอบเขตมาตรา 68 ท าให้ศาลรัฐธรรมนูญมิได้เพียงมีแต่เพียงความสัมพันธ์เชิงอ านาจด้านการถ่วงดุล
ตรวจสอบต่อการเมืองในระบบรัฐสภา หากแต่ยังขยายขอบเขตอ านาจให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถรับเรื่องจาก
อัยการสูงสุดในการตีความการกระท าของบุคคลหรือกลุ่มคน รวมถึงพรรคการเมืองที่ไม่จ าเป็นต้องมี