Page 191 - 23154_Fulltext
P. 191

186


               จัดการเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม (บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, 2563: 199-200; ปิยบุตร แสงกนกกุล, 2560: 13-

               14) อย่างไรก็ตาม ขณะที่ยังไม่มีการเลือกตั้งครั้งถัดไปก็ได้เกิดการรัฐประหารเสียก่อน
                       การรัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 จากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ
               ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ภายใต้การน าของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน

               นอกจากนั้นยังได้ฉีกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 แล้วแทนที่ด้วยรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 ไปพลางก่อน
               โดยที่รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549 อยู่ภายใต้บทบาทส าคัญของมีชัยผู้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ คปค. และ

               มีบทบาทในการร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549 ร่วมกับวิษณุ เครืองาม และบวรศักดิ์ อุวรรณโณ (ไอลอว์,
               2558b) ทว่าการที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้ประกาศใช้นั้นมีการวางแนวทางบริหารและระบบรัฐสภาอย่างไร

               หรือแตกต่างอย่างไรจากธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราวของคณะรัฐประหารในอดีตอย่างไร จะมีการพิจารณา
               ต่อไป

                       โครงสร้างอ านาจหน้าที่ของรัฐสภา

                       รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549 ได้ผ่านการร่างของฝ่ายกฎหมายของ คปค. ภายใต้บริบทการเมืองที่มี

               ความขัดแย้งทางการเมืองอันมาจากข้อถกเถียงเรื่องการทุจริตทางการเมือง และการแบ่งฝักฝ่ายของมวลชนดังที่ค า
               ปรารภของรัฐธรรมนูญชั่วคราวระบุถึงเหตุแห่งการยึดอ านาจไว้ ขณะเดียวกันก็ระบุว่าจะเร่งด าเนินการให้มีการร่าง
               รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางจากประชาชน ผลลัพธ์ที่ได้จากการร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็น

               การก าหนดรูปแบบความสัมพันธ์เชิงอ านาจของระบบรัฐสภาให้สะดวกต่อการรองรับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านทาง
               การเมืองภายใต้กองทัพ ดัง 4 ประการส าคัญ ดังนี้

                       ประการแรก การปรับเปลี่ยนรัฐสภาเป็นระบบสภาเดี่ยวในชื่อ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ดังธรรมเนียม
               ปฏิบัติของคณะรัฐประหารที่จะยุบรวมเหลือสภาเดี่ยวที่มาจากการแต่งตั้ง และท าหน้าที่นิติบัญญัติแทนทั้งในส่วน

               ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยที่มาตรา5 วรรคสาม ระบุให้การสรรหาครอบคลุมภาครัฐ เอกชน สังคม
               วิชาการ และภูมิภาค เพื่ออ้างอิงความชอบธรรมในการแต่งตั้งนักการเมืองท่ามกลางกระแสสังคมที่ตื่นตัวทาง

               การเมือง ในขณะที่อ านาจของการเสนอร่างพระราชบัญญัติตามมาตรา 10 บัญญัติให้สมาชิกสภานิติบัญญัติ
               แห่งชาติไม่น้อยกว่า 25 คน หรือคณะรัฐมนตรีมีอ านาจเสนอร่างพระราชบัญญัติได้ เว้นแต่ร่างพระราชบัญญัติ
               การเงินจะเสนอได้โดยคณะรัฐมนตรีได้เท่านั้น

                       ขณะที่ประการที่สอง คณะรัฐมนตรีจากการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ตามมาตรา 14 ตามค าแนะน าของ

               คปค. (หากประเมินตามวรรคสองที่เป็นการพ้นจากต าแหน่งตามค าแนะน าของ คปค. เช่นนั้นการแต่งตั้งก็ย่อมมา
               จาก คปค. เช่นกัน) คณะรัฐมนตรีอ านาจครอบง าสภานิติบัญญัติแห่งชาติในระบบรัฐสภา นับตั้งแต่อ านาจเสนอร่าง
               พระราชบัญญัติทุกประเภทตามมาตรา 10 หรืออ านาจในการเป็นฝ่ายขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมของสภา

               นิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรา 12
                       อย่างไรก็ตาม ประการที่สาม มาตรา 34 ได้ก าหนดให้มีสภาจ าแลงของคณะรัฐประหารขึ้นมาชั่วคราว

               ภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549 ภายใต้ชื่อ “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ” (คมช.) โดยมีประธาน คปค.
               มาเป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมทั้งมีสมาชิกอีก 15 คนเสมือนเป็นรัฐมนตรี เพื่อให้ คปค.
   186   187   188   189   190   191   192   193   194   195   196