Page 190 - 23154_Fulltext
P. 190

185


                                                          บทที่ 8

                         รัฐสภาไทยหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ถึงหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557

                                                   (พ.ศ. 2549-ปัจจุบัน)


               4.2.17  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549


                       บริบททางการเมือง

                       การเมืองไทยหลังจากมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 น ามาสู่ระเบียบการเมืองใหม่ที่พรรคการเมืองมีความ
               เข้มแข็งและแข่งขันกันทางนโยบาย อันเป็นการก้าวข้ามการเมืองแบบสองนคราประชาธิปไตยที่นักการเมืองเจ้าพ่อ

               ภูธรมีอ านาจและอิทธิพลต่อคนท้องถิ่นจนน ามาสู่การรวมมุ้งตั้งรัฐบาล และเมื่อได้เปลี่ยนผ่านสู่การเมืองภายใต้
               รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 การเมืองระบบรัฐสภาได้เปลี่ยนมาเป็นการเมืองที่ฝ่ายบริหารมีอ านาจภายใต้ความยึดมั่น

               ต่อระเบียบพรรคการเมือง และด้วยผลของพลังทางสังคมหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ส่งผลให้พลังของระบบ
               ราชการถูกลดบทบาทในการผลักดันนโยบายสาธารณะให้บทบาทหลักมาอยู่ภายใต้ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะอย่าง

               ยิ่งเมื่อเข้าสู่รัฐบาลสมัยของพันต ารวจโททักษิณ ชินวัตร แห่งพรคไทยรักไทย ซึ่งเสนอหลักการบริหารแบบเน้นกล
               ยุทธ์ทางเศรษฐกิจน า และให้กฎหมายเป็นเพียงส่วนประกอบ ต้องให้อิสระในการท างานมาแทนที่ความล่าช้าของ

               ระบบราชการ
                       แต่อย่างไรก็ตาม กลไกตรวจสอบสมาชิกรัฐสภาที่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ก็ย้อนกลับมา

               ท างานตรวจสอบทักษิณในกรณีการซุกหุ้นโดยเป็นการสอบสวนของ ป.ป.ช. และวินิจฉัยโดยศาลรัฐธรรมนูญ (กอง
               บรรณาธิการมติชน, 2549: 146-147; บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, 2563: 179-180) รวมถึงข้อวิจารณ์อื่นที่ตามมา อาทิ

               ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้ หรือสงครามยาเสพติด เป็นต้น รวมถึงกรณีขายบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นให้
               บริษัทเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์โดยไม่เสียภาษี อันเป็นเหตุมาจากการที่รัฐบาลแก้ไขกฎหมายเพื่อสนับสนุนการ
               เลี่ยงภาษี ส่งผลให้เกิดความร่วมมือของขบวนการทางสังคมในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”

               (พธม.) ปลุกกระแสเรื่องการที่ทักษิณเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์ จนที่สุดแล้วรัฐบาลทักษิณยุบสภา ทว่าการเลือกตั้ง
               ใหม่เมษายน พ.ศ. 2549 ถูกฝ่ายค้านร่วมกันไม่ลงเลือกตั้ง ชัยชนะของไทยรักไทยอีกครั้งจึงถูกกล่าวหาว่าผิด

               กฎหมายเลือกตั้ง ประกอบกับพระราชอ านาจแทรกแซงการเมืองอันน ามาสู่ปรากฎการณ์ “ตุลาการภิวัตน์”
               (judicialization) เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยผ่านเหตุการณ์พระราชด ารัสเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ.

               2549 ต่อตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับต าแหน่ง ณ วังไกลกังวล โดยมีใจความส าคัญ
               โดยสรุปว่า หน้าที่ของผู้พิพากษาเกี่ยวข้องกับการปกครองซึ่งมีหน้าที่กว้างขวางมาก  ในที่สุดหากการเลือกตั้งไม่

               สมบูรณ์ การปกครองแบบประชาธิปไตยก็จะด าเนินการไม่ได้ จึงต้องท าทุกอย่างเพื่อให้การปกครองประชาธิปไตย
               ด าเนินการไปได้ (คริส เบเคอร์ & พงษ์ไพจิตร, 2559: 371; ปิยบุตร แสงกนกกุล, 2560: 9-10) ผลสืบเนื่องต่อมา
               จึงเป็นปฏิกิริยาของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

               รวมถึงปฏิกิริยาของศาลอาญาที่พิพากษาต่อ กกต. ที่ถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล และได้มีการพิพากษา
               กกต. 3 คน ได้แก่ พลต ารวจเอกวาสนา เพิ่มลาภ ปริญญา นาคฉัตรีย์ และวีระชัย แนวบุญเนียร ให้จ าคุกจากกรณี
   185   186   187   188   189   190   191   192   193   194   195