Page 185 - 23154_Fulltext
P. 185
180
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตัวแสดงในระบบรัฐสภายิ่งกว่าที่ผ่านมาให้เป็นไปตามหลักความโปร่งใส
ประกอบด้วยองค์กรส าคัญได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการ
สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) โดย กกต. ถือว่ามี
บทบาทหน้าที่สัมพันธ์โดยตรงกับนักการเมืองในรัฐสภา
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกอบด้วยประธานกรรมการ 1 คน และสมาชิกอีก 4 คน มีวาระ 7
ปี มีที่มาตามมาตรา 136 และ 138 มาจากการคัดกรองรายชื่อจากคณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง อัน
ประกอบด้วย 4 กลุ่มใหญ่ได้แก่ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อธิการบดีของ
สถาบันอุดมศึกษาคัดกันเองเหลือ 4 คน และผู้แทนพรรคการเมืองจากพรรคที่มีสมาชิกเป็นสภาผู้แทนราษฎรคัด
กันเองเหลือ 4 คน และน ารายชื่อ 5 คนเสนอต่อประธานวุฒิสภา และให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเสนออีก 5 ชื่อ
เสนอต่อ ประธานวุฒิสภา เพื่อให้มีการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามค าแนะน าของวุฒิสภา โดยที่อ านาจของ
กกต. นอกจากจะเป็นการควบคุมด าเนินการและจัดให้มีการเลือกตั้งตามมาตรา 144 แล้ว อ านาจในการตรวจสอบ
ของ กกต. โดยหลักแล้วยังเป็นไปตามมาตรา 147 เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเมื่อปรากฎหลักฐานว่าการเลือกตั้งหรือ
ประชามติไม่ได้เป็นไปโดยกฎหมาย และมาตรา 145 (4) สั่งให้มีการเลือกตั้งหรือประชามติใหม่หนึ่งหน่วยหรือทุก
หน่วยเมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าการออกเสียงประชามติไม่ได้เป็นไปโดยสุจริต หรือโดยสรุปแล้ว อ านาจหน้าที่
ส าคัญของ กกต. คือการตรวจสอบหลักฐานพฤติกรรมที่ขัดต่อความสุจริตของการเลือกตั้งอันน ามาสู่การจัดการ
เลือกตั้งใหม่ ซึ่งอ านาจดังกล่าวมีผลต่อการพ้นจากต าแหน่งของนักการเมืองและมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ส่งผลให้
ทรัพยากรส่วนบุคคลของนักการเมืองที่ได้ใช้ในการรับสมัครเลือกตั้งไว้ครั้งที่ผ่านมาสูญเปล่าและจ าเป็นต้องมีการ
ระดมทรัพยากรอีกครั้งเพื่อการเลือกตั้งครั้งถัดไป
ขณะที่อีกองค์กรที่มีบทบาทส าคัญในการตรวจสอบคือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกอบด้วยประธานกรรมการ 1 คน และสมาชิกอีก 8 คน มีวาระด ารงต าแหน่ง 9 ปีวาระเดียว
โดยที่มาเป็นไปตามมาตรา 297 วรรคสาม ให้คณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติที่ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อธิการบดีของ
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐซึ่งเลือกกันเองเหลือ 7 คน ผู้แทนทุกพรรคที่มีสมาชิกเป็นสภาผู้แทนราษฎรพรรคละ 1
คน ให้แต่ละกลุ่มข้างต้นเลือกกันเองจนเหลือ 5 คน เพื่อให้วุฒิสภาถวายค าแนะน าให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง
โดยที่อ านาจหน้าที่เป็นไปตามมาตรา 301 โดยสรุปคือ การไต่สวนข้อเท็จจริง สรุปส านวน และวินิจฉัยถึง
พฤติการณ์ร่ ารวยผิดปกติของผู้ด ารงต าแหน่งทางการเมืองหรือทุจริตต่อหน้าที่ราชการ เพื่อน าเสนอต่อวุฒิสภา
พร้อมส่งความเห็นให้ศาลฎีกาแผนกผู้ด ารงต าแหน่งทางการเมืองต่อไป พร้อมทั้งมีหน้าที่ต้องจัดพิมพ์รายงานผล
ตรวจสอบรายปี
ทั้งนี้แม้ว่าวุฒิสภาจะไม่ได้เป็นผู้เสนอรายชื่อผู้จะมาเป็นอิสระที่กล่าวถึงในข้างต้นทั้งหมดโดยตรง แต่
อย่างไรก็ตาม วุฒิสภายังคงมีอ านาจน าในการต่อรองรายชื่อในฐานะผู้ท าหน้าที่ลงมติในการประชุมสภาเพื่อให้
ความเห็นชอบต่อรายชื่อที่จะมีการเสนอต่อประธานวุฒิสภา และเมื่อเป็นเช่นนั้น องค์กรอิสระที่ได้รับความ
เห็นชอบจากวุฒิสภาจึงมีแนวโน้มช่วยตรวจสอบกดดันพฤติกรรมการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรทดแทนอ านาจที่
ลดลงของวุฒิสภาในระบบรัฐสภาแทนได้