Page 183 - 23154_Fulltext
P. 183

178


               ผู้แทนราษฎรแล้ว ยังมีมาตรา 111 ว่าด้วยข้อห้ามมิให้สภาผู้แทนราษฎรให้คุณหรือโทษแทรกแซงแก่ข้าราชการ

               พนังงานหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น อันเป็นเหตุปัจจัยให้พลังของการเมืองในสภา
               ขัดแย้งด้านผลประโยชน์กับพลังราชการและกองทัพมาหลายครั้งในอดีต มาตรา 111 จึงมีไว้จ ากัดอ านาจเพื่อเลี่ยง
               ปัญหาความขัดแย้งจากการกลั่นแกล้งหรือให้ผลประโยชน์ในต าแหน่งหรือเงินเดือนในข้างต้น

                       ขณะที่อ านาจในการออกกฎหมายในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ไม่เพียงอยู่ในขอบเขตของสภาผู้แทนราษฎร
               และคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 169 หากแต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังขยายขอบเขตอ านาจการเสนอกฎหมายให้

               ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ด้วย ซึ่งเป็นการเสริมความเป็นประชาธิปไตยที่ตอบสนองกับความตื่นตัวทาง
               การเมืองของสังคมไทยในห้วงเวลาขณะนั้นด้วยการเพิ่มอ านาจการเสนอกฎหมายโดยการรวมเสียงเข้าชื่อเสนอ

               กฎหมายจากภาคประชาชนโดยตรง ดังบัญญัติมาตรา 170 บัญญัติไว้ว่า
                              “มาตรา 170 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภา

                       เพื่อให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายตามที่ก าหนดในหมวด 3 และหมวด 5 ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้
                              ค าร้องขอตามวรรคหนึ่งต้องจัดท าร่างพระราชบัญญัติมาเสนอด้วย

                              หลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อรวมทั้งตรวจสอบ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ”
                       อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ควรต้องพิจารณาว่า ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 จะขยายอ านาจในการ

               เสนอร่างกฎหมายมากขึ้น ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและประกาศใช้เป็นกฎหมายนั้น โดย
               ส่วนใหญ่แล้วมาจากการริเริ่มจากฝ่ายบริหาร รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบแต่ละกระทรวงเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่รัฐสภา

               โดยการสนับสนุนจากเทคโนแครตและข้าราชการประจ า กล่าวอีกนัยหนึ่ง ฝ่ายบริหารยังคงควบคุมกระบวนการนิติ
               บัญญัติ เพราะว่าพรรครัฐบาลสามารถรวมเสียงข้างมากเมื่อใดก็ได้ที่เห็นว่าจ าเป็นต้องท า (Siripan, 2013: 91)

                       ประการที่สอง วุฒิสภาได้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ให้รัฐสภา
               เป็นสภาที่มีความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง ส่งผลให้วุฒิสภาถูกเปลี่ยนแปลงที่มาของการเข้าสู่อ านาจจากเดิมที่

               เคยเป็นสภาแต่งตั้ง ได้เปลี่ยนไปตามบัญญัติของมาตรา 121 และ 122 ดังนี้
                              “มาตรา 121 วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งจ านวน 200 คน”

                              “มาตรา 122 การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง”
                       ทั้งนี้หากวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งเหมือนกันกับสภาผู้แทนราษฎรแล้วทั้งสองสภาแตกต่างกันอย่างไร

               เบื้องต้นความแตกต่างพิจารณาได้จากคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง อันได้แก่ เกณฑ์อายุ (ส.ส. ต้อง 25 ปีขึ้นไป
               ส่วน ส.ว. ต้อง 40 ปีขึ้นไป) และการสังกัดพรรคการเมือง (ส.ส. ต้องสังกัดพรรคไม่ต่ ากว่า 90 วันก่อนมีการเลือกตั้ง

               ขณะที่ ส.ว. ห้ามมิให้สังกัดพรรคการเมือง หรือพ้นจากต าแหน่ง ส.ส. ยังไม่ครบเวลา 1 ปี) และวาระการด ารง
               ต าแหน่งเองก็ต่างกัน (ส.ส. 4 ปี และ ส.ว. 6 ปี) กล่าวได้ว่า วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ถูกปรับให้เป็นสภา
               จากการเลือกตั้งและมีความเป็นอิสระทางการเมืองจากระบบพรรคการเมือง โดยที่มีอายุขั้นต่ า 40 ปีเพื่อแสดงถึง

               ความเป็นสภาที่มีอาวุโสทางประสบการณ์การเมือง

                       อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของอ านาจของวุฒิสภาเมื่อต้องประชุมร่วมกับสภา
               ผู้แทนราษฎร สังเกตได้ว่าตามมาตรา 193 ที่บัญญัติไว้ว่า
   178   179   180   181   182   183   184   185   186   187   188