Page 178 - 23154_Fulltext
P. 178

173


                       บริบททางการเมืองของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 อยู่ภายใต้บรรยากาศการเปลี่ยนผ่านสั้น ๆ ที่ รสช. ครอง

               อ านาจการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่าน และขณะเดียวกันก็มีคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญท าหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ
               ภายใต้ความพยายามในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะควบคุมให้กลับสู่บรรยากาศทางการเมืองแบบ
               ประชาธิปไตยครึ่งใบที่ขั้วอ านาจรัฐราชการควบคุมการเมืองอีกครั้ง

                       ท้ายที่สุดแล้วเมื่อพิจารณาจากตัวบทของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 จึงสังเกตได้ว่ามีเจตนารมณ์ในการสืบ
               ทอดการเมืองแบบเปรมาธิปไตยกลับมาอีกครั้ง โดยมีปัจจัยส าคัญอยู่ที่การจัดวางความสัมพันธ์เชิงอ านาจในสอง

               ส่วนส าคัญก็คือ ส่วนของนายกรัฐมนตรีคนนอกที่มาจากการแต่งตั้งโดยมีพลังของระบบราชการและกองทัพผลักดัน
               และอีกพลังที่ส าคัญยิ่งก็คือวุฒิสภา 270 คนที่มาจากการแต่งตั้งและมีอ านาจต่อรองในความสัมพันธ์เชิงอ านาจ

               เหนือสภาผู้แทนราษฎรในการประนีประนอมหรือยับยั้งเมื่อต้องประชุมร่วมกับผู้แทนจากการเลือกตั้ง อีกทั้งยังมี
               อ านาจในการควบคุมการประชุมทั้งการประชุมสภาที่ประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา อีกทั้งประธานวุฒิสภา

               ยังได้รับต าแหน่งประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ เมื่อประกอบกับสมาชิกตุลาการรัฐธรรมนูญอีก 3 คนที่วุฒิสภา
               แต่งตั้งได้เอง จึงส่งผลให้วุฒิสภาครองอ านาจน าทั้งความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่มีต่อสภาผู้แทนราษฎรและตุลาการ
               รัฐธรรมนูญ ขณะที่นายกรัฐมนตรีคนนอกมีแนวโน้มที่จะได้รับการสนับสนุนโดยพลังราชการเช่นเดียวกับวุฒิสภา

               จึงท าให้ทั้งสองสามารถร่วมกันด าเนินตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 ได้ด้วยดี


               8.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540


                       บริบททางการเมือง

                       หลังจากบริบททางการเมืองของการรัฐประหารของ รสช. และได้มีความพยายามร่างรัฐธรรมนูญใหม่

               ขนานไปกับการประท้วงโดยกลุ่ม ครป. ที่ไม่ต้องการรัฐธรรมนูญสืบทอดอ านาจ จนปรากฎผลผลิตเป็นรัฐธรรมนูญ
               พ.ศ. 2534 ที่สนับสนุนการสืบทอดอ านาจของตัวแทนกองทัพหรือระบบราชการ ทว่าหลังจากที่มีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.
               2534 ประกาศใช้ ได้มีปัจจัยส าคัญ 3 เหตุการณ์ใหญ่ที่ส่งผลต่อกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนี้

                       เหตุการณ์แรกคือ การถดถอยของความนิยมต่อกองทัพและความตื่นตัวของชนชั้นกลาง ด้วยจุดเริ่มต้น

               จากการที่สมาชิกของ รสช. ได้ตั้งพรรคสามัคคีธรรมเพื่อรองรับการสืบทอดอ านาจโดยมีการรวมเอาสมาชิกพรรค
               การเมืองอื่นเข้ามาในพรรค ส่งผลให้การเลือกตั้งเมื่อ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ชัยชนะตกเป็นของพรรคสามัคคีธรรม
               โดยที่ต าแหน่งนายกรัฐมนตรีคนนอกตกเป็นของสุจินดา ทั้งที่มีการปฏิเสธรับต าแหน่งมาโดยตลอด และมีกระแส

               ต่อต้านจากทั้งกลุ่ม ครป. และกลุ่มของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และกลายเป็นข้อครหาดัง
               วลี “เสียสัตย์เพื่อชาติ” ที่สุจินดาเคยแถลงไว้ รวมถึงข้อวิจารณ์จากกรณี ยกต าแหน่งรัฐมนตรีให้แก่นักการเมืองที่

               รสช. เองเคยกล่าวหาว่าร่ ารวยเพราะทุจริต (บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, 2563: 154-155; ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563:
               528-529) ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจของสังคมเริ่มต้นจากการประท้วงอดอาหารของเรืออากาศตรีฉลาด วร
               ฉัตร จนน ามาสู่การประท้วงน าโดยพลตรีจ าลอง ศรีเมือง รวมถึงกลุ่ม ครป. สนนท. ตลอดจนขบวนการทางสังคม

               ปัญญาชน พนังงานรัฐวิสาหกิจ สหพันธ์แรงงาน และเสียงสนับสนุนจากชนชั้นกลาง จนต่อมาเกิดจุดเปลี่ยนส าคัญ
               คือการที่รัฐบาลไม่รับญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในสภา ผู้ประท้วงจึงรวมตัวกันเป็น “สมาพันธ์
   173   174   175   176   177   178   179   180   181   182   183