Page 179 - 23154_Fulltext
P. 179

174


               ประชาธิปไตย” ประท้วงเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าผู้ประท้วงเป็นชนชั้นกลางใน

               เมืองที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีพอที่จะซื้อโทรศัพท์มือถือจนเรียกว่าเป็น “ม็อบมือถือ” โดยที่มีนักศึกษาและ
               พนักงานโรงงานให้การสนับสนุนด้วย จนกระทั่งฝั่ง รสช. ตอบโต้ด้วยความรุนแรงระดับแผนยุทธศาสตร์ต่อต้าน
               คอมมิวนิสต์ ใช้ทหารพรานปราบฝูงชนต่อเนื่อง 3 คืน จนในที่สุดแล้วปรากฎการณ์พระราชอ านาจน าการเมืองได้

               กลับมาอีกครั้งผ่านเหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้คู่ขัดแย้งเข้าเฝ้าทั้งสุ
               จินดาและจ าลองเพื่อขอยุติความรุนแรง ผลลัพธ์จึงจบลงด้วยความเสียหายจากการที่มีผู้สูญหาย 403 คน เสียชีวิต

               39 คน บาดเจ็บสาหัส 103 คน และพิการ 6 คน ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลสุจินดาลาออก รัฐธรรมนูญได้รับการแก้ไข และ
               อานันท์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวระหว่างที่รอจัดการเลือกตั้ง (คริส เบเคอร์ & พงษ์ไพจิตร, 2559: 348;

               ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 536-541) อย่างไรก็ตาม มีการเปิดเผยบทสัมภาษณ์ว่าส่วนหนึ่งของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
               เป็นความพยายามช่วงชิงอ านาจภายในกองทัพระหว่างศิษย์เก่าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) รุ่นที่ 5

               กับรุ่นที่ 7 โดยรุ่น 7 ให้การสนับสนุนผู้ชุมนุมโดยเฉพาะจ าลองที่มีบทบาทจนเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุม
               และยังมีสมาชิกคอื่นอย่าง พลโทพัลลภ ปิ่นมณี หรือพลโทพิรัช สวามิวัศดุ์ ที่แอบให้การสนับสนุนผู้ชุมนุม (วาสนา
               นาน่วม, 2545: 457-458)

                       เหตุการณ์ที่สอง การผลักดันแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามกลไกของระบบรัฐสภาเป็นไปอย่างค่อยเป็น
               ค่อยไปภายใต้เจตนาในการแก้ไขประเด็นส าคัญได้แก่ จ ากัดอ านาจหน้าที่ของวุฒิสภา และจ ากัดให้นายกรัฐมนตรี

               ต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่งผลให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นส าคัญ 6 ครั้งใน 3 รัฐบาล
               ด้วยกัน โดยเริ่มต้นนับตั้งแต่รัฐบาลอานันท์ สมัยที่ 2 ที่ตอบรับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 4 ครั้งออกมาเป็น

               รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 1 พ.ศ. 2535 มีการแก้ไขในประเด็นส าคัญได้แก่ ประธานรัฐสภาเป็นของ
               ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภาก็เป็นประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้เป็นการเสริม

               ความสัมพันธ์เชิงอ านาจของสภาผู้แทนราษฎรในการควบคุมบรรยากาศการประชุมยิ่งขึ้นในการประชุมร่วมกับ
               วุฒิสภา ถัดมาในรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 ว่าด้วยก าหนดวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร จากนั้น
               รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3 พ.ศ. 2535 เป็นการลดอ านาจของวุฒิสภาในการขอเปิดอภิปรายทั่วไปต่อ

               คณะรัฐมนตรี  และที่มาของวุฒิสภาอันยึดโยงกับสภารักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นการลดขอบเขตอ านาจ
               วุฒิสภาในการยื่นอภิปรายกดดันทางการเมืองต่อคณะรัฐมนตรี นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 4

               พ.ศ. 2535 เป็นการแก้ไขมาตรา 159 เพื่อให้นายกรัฐมนตรีต้องถูกแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น จึง
               กล่าวได้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 4 ครั้งมุ่งเจตนารมณ์ที่การลดอ านาจวุฒิสภา และก าหนดที่มาให้นายกรัฐมนตรี

               สัมพันธ์กับสภาผู้แทนราษฎร เมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เป็นครั้งที่หนึ่งแล้ว รัฐบาลอานันท์จึงยุบสภาในเวลาต่อมา
               (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2558: 246)

                       การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งถัดมาเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลสมัยของชวน หลีกภัย ภายใต้กระแสที่ผู้คนมี
               ความหวังกับประชาธิปไตยแม้จะยังเป็นแบบกระแสภูมิภาคนิยมก็ตาม แต่ขณะนี้นายกรัฐมนตรีจ าเป็นต้องมาจาก
               สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ท าให้พรรคการเมืองมีอิทธิพลมากขึ้นในระบบรัฐสภา ขณะเดียวกันห้วงเวลาขณะนั้นก็มี

               กระแสของการเมืองประชาสังคมกดดันรัฐบาลให้มีการปฏิรูปการเมือง เช่นเดียวกับนักวิชาการที่เสนอข้อถกเถียง
               ปฏิรูปการเมือง อาทิ แนวคิด “รัฐธรรมนูญนิยม” (constitutionalism) เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นหลักประกันการ
   174   175   176   177   178   179   180   181   182   183   184