Page 180 - 23154_Fulltext
P. 180

175


               ตรวจสอบถ่วงดุลอ านาจการเมือง เสนอโดย อมร จันทรสมบูรณ์ (2537) หรือ การเมืองแบบสองนครา

               ประชาธิปไตย ซึ่งแบ่งแยกระหว่างพลังของคนชนบทในการเลือกตั้งรัฐบาลกับพลังคนกรุงที่ล้มรัฐบาล เสนอโดย
               เอนก เหล่าธรรมทัศน์ (2538)  เป็นต้น แม้ว่ารัฐบาลชวนจะได้แก้ไขเพิ่มเติมให้มีรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5
               พ.ศ. 2538 อันเป็นการแก้ไขหมวดที่ 3 จนถึง 10 ทว่าหมวด 11 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญยังคงถูกสงวน

               สิทธิ์ไว้ให้เป็นอ านาจของรัฐสภาในการด าเนินการ ทว่าด้วยกระแสของประชาสังคมที่ต้องการออกห่างจาก
               นักการเมืองที่ต่อรองผลประโยชน์ในสภา จึงเกิดข้อเรียกร้องที่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีส่วนร่วมจาก

               ประชาชนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เมื่อถูกกดดันถึงที่สุดแล้วรัฐบาลชวนจึงเริ่มตอบสนองด้วยการให้สภาผู้แทนราษฎรตั้ง
               “คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย” (คพป.) เพื่อท าข้อเสนอปฏิรูปการเมือง ประธานคือ นายแพทย์ประเวศ วะ

               สี โดยที่ข้อเสนอส าคัญที่เห็นพ้องตรงกันทั้งประเวศและสมาชิก 57 คน ต่างต้องการแก้ไขมาตรา 211 เพื่อให้มี
               คณะกรรมการพิเศษยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับและให้ผ่านกระบวนการประชามติ ทว่าข้อเสนอของประเวศกลับถูก

               เพิกเฉยจนกระทั่งรัฐบาลชวนยุบสภาโดยที่ไม่ได้ตอบสนองใดเลยต่อข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเวศ (ประชา
               ไท, 2564; ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 567) เมื่อรัฐบาลชวนกลับต้องยุบสภาไปก่อนในคดี ส.ป.ก. 4-01 ที่ถูกฝ่ายค้าน
               น าเสนอว่าเป็นการทุจริตเอื้อผลประโยชน์ให้นายทุน จึงท าให้โครงการปฏิรูปการเมืองของประเวศเป็นอันตกไป

               ก่อนที่ผู้จะมาเสนอตัวรับช่วงต่อในการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือ บรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งน าข้อเสนอปฏิรูปการเมืองมา
               เป็นนโยบายหาเสียงและผลักดันจริงหลังได้รับเลือกตั้งผ่านการแต่งตั้ง “คณะกรรมการปฏิรูปการเมือง” เพื่อ

               พิจารณาหาแนวทางปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเนื้อหาของมาตรา 211 ที่จะแก้ไขขึ้นใหม่ ผล
               ของการเจรจาต่อรองในชั้นคณะกรรมาธิการระหว่างพลังของฝ่ายการเมืองกับภาคประชาชนที่มีชัยอนันต์ สมุท
               วณิชเป็นแกนน า ข้อสรุปจึงเป็นการเห็นชอบให้ตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, 2546: 143-145

               ; ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 568-569) ดังสังเกตได้ผ่านรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 6 พ.ศ. 2539 ที่ได้แก้ไขหมวด
               ที่ 12 ว่าด้วยการจัดท ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านบทบาทของสภาร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมก าหนดหลักเกณฑ์การได้มา

               ของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนอ านาจและหน้าที่ของสภาร่างรัฐธรรมนูญ
                       เหตุการณ์ที่สามซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับการก าเนิดรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ก็คือ กระบวนการร่าง

               รัฐธรรมนูญของสภาร่างรัฐธรรมนูญ โดยโครงสร้างของสภาร่างรัฐธรรมนูญมีสมาชิก 99 คน แบ่งเป็นตัวแทน
               จังหวัด 76 คน มาจากการสมัครสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญและคัดเลือกกันเองก่อนจะน ารายชื่อเสนอรัฐสภา และ

               ผู้เชี่ยวชาญ 23 คน มาจากการให้สภาสถาบันอุดมศึกษาคัดสรรรายชื่อและส่งต่อรัฐสภา โดยที่อ านาจหน้าที่ของ
               สภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างมีอิสระในการร่างรัฐธรรมนูญ สามารถรับแรงกดดันทั้งจากสังคมภายนอกและ

               พฤติกรรมการต่อต้านจากสมาชิกภายในของสภาร่างรัฐธรรมนูญเองบางส่วน โดยมีแกนน าส าคัญในสภาร่าง
               รัฐธรรมนูญ อาทิ อานันท์ ปันยารชุน อุทัย พิมพ์ใจชน บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือสุจิต บุญบงการ เป็นต้น อย่างไรก็

               ตาม ไม่ได้มีเพียงบทบาทภายในของสภาร่างรัฐธรรมนูญ แต่ยังมีปรากฎการณ์ที่น่าสังเกตคือ ด้วยการที่โครงสร้าง
               ของสภาร่างรัฐธรรมนูญแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ คณะกรรมาธิการวิชาการ ข้อมูล และศึกษาแนวทางการร่าง
               กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและประชา

               พิจารณ์ และคณะกรรมาธิการประชาสัมพันธ์ ส่งผลให้สภาร่างรัฐธรรมนูญมีการแบ่งหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญควบคู่
               กับการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนขณะอยู่ในกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการประชา
   175   176   177   178   179   180   181   182   183   184   185