Page 182 - 23154_Fulltext
P. 182
177
อ านาจวุฒิสภาครอบง าการเมืองในบทบาทการคุมเสียงการประชุมสภาร่วมมาโดยตลอด ขณะที่สมดุลของจ านวน
สมาชิกรัฐสภาถูกปรับใหม่ตามมาตรา 98 99 100 และ 102 เป็นการเลือกตั้งแบบสัดส่วนดังนี้
“มาตรา 98 สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจ านวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจาก
การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อตามมาตรา 99 จ านวน 100 คน และสมาชิกจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
ตามมาตรา 102 จ านวน 400 คน”
“มาตรา 99 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออก
เสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคท าขึ้น โดยให้เลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อ
หนึ่งเพียงบัญชีเดียว และให้ถือประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง
บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งตามวรรคหนึ่ง ให้พรรคการเมืองจัดท าขึ้นพรรคการเมืองละ 1
บัญชี ไม่เกินบัญชีละ 100 คน และให้ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเปิดรับสมัครเลือกตั้ง
สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
รายชื่อของบุคคลในบัญชีรายชื่อตามวรรคหนึ่งจะต้อง
(1) ประกอบด้วยรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเป็นธรรม
(2) ไม่ซ้ ากับรายชื่อในบัญชีที่พรรคการเมืองอื่นท าขึ้น และไม่ซ้ ากับรายชื่อขอผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่ง
เขตเลือกตั้งตามมาตรา 102 และ
(3) จัดท ารายชื่อเรียงตามล าดับหมายเลข”
“มาตรา 100 บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดได้คะแนนเสียงน้อยกว่าร้อยละ 5 ของจ านวน
คะแนนเสียงรวมทั้งประเทศ ให้ถือว่าไม่มีผู้ใดในบัญชีนั้นได้รับเลือกตั้ง และมิให้น าคะแนนเสียงดังกล่าวมา
รวมค านวณเพื่อหาสัดส่วนจ านวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามวรรคสอง”
“มาตรา 102 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ 1 คน”
จากบัญญัติของ 4 มาตราในข้างต้นสังเกตได้ถึงความพยายามลดอ านาจของการเมืองแบบภูมิภาคที่เคย
ครอบง าการเมืองในช่วง พ.ศ. 2534-2540 ด้วยการแบ่งสัดส่วนของตัวแทนจากท้องถิ่นกับตัวแทนที่สะท้อนความ
เป็นอัตลักษณ์ของพรรคภายใต้ความหลากหลายทางภูมิภาคตามมาตรา 99 วรรคสาม (1) โดยที่สัดส่วนของ
ตัวแทนความเป็นพรรคเหล่านี้จะมีจ านวนเพียง 1 ใน 5 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด และเพื่อเป็นการ
ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาพรรคการเมืองอ่อนแอแบบในยุคเปรมาธิปไตยที่มีพรรคจ านวนมากเกินไปจนมีแต่การ
ต่อรองผลประโยชน์จากการพรรคเล็กน้อยเหล่านี้ มาตรา 100 จึงวางข้อจ ากัดเพื่อลบเอาบัญชีรายชื่อที่เสียง
ลงคะแนนไม่เพียงพอไม่ให้เข้าสภาตั้งแต่ต้น หรือก็คือเป็นการวางระบบให้รัฐสภาอยู่บนฐานของระบบพรรค
การเมืองเข้มแข็ง มีพรรคการเมืองขนาดใหญ่เข้มแข็งเหนือตัวบุคคลเป็นหลัก และมีพรรคขนาดกลางที่ได้รับเสียง
เพียงพอเข้ามาสะท้อนเป็นเสียงส่วนน้อยในสภา
นอกจากนั้นแล้วข้อจ ากัดของการเข้ามาเป็นสภาผู้แทนราษฎรยังมีมากขึ้น นอกเหนือไปจากมาตรา 109
ว่าด้วยข้อห้ามในการสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือมาตรา 110 ว่าด้วยข้อห้ามของผู้ด ารงต าแหน่งสภา