Page 186 - 23154_Fulltext
P. 186

181


                       ในส่วนของประการที่สี่ คณะรัฐมนตรีมีความสัมพันธ์เชิงอ านาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มีความสัมพันธ์อัน

               ดีกับสภาผู้แทนราษฎรยิ่งกว่าสมัยภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 และดีขึ้นเรื่อยมาหลังจากมีกระแสการแก้ไข
               เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2535 โดยความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนคือมาตรา 201 และ 202 ว่าด้วยที่มาของรัฐมนตรี
                              “มาตรา 201 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งและรัฐมนตรีไม่เกิน 35 คน

                       ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน

                              นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่
                       พ้นจากสมาชิกภาพตามมาตรา 118 (7) ในอายุของสภาผู้แทนราษฎรชุดเดียวกัน”
                              “มาตรา 202 วรรคสอง การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตาม

                       วรรคหนึ่ง ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจ านวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ
                       สภาผู้แทนราษฎรรับรอง”

                       จากมาตราข้างต้นจึงสังเกตได้ว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ส่งผลให้พลัง
               ทางการเมืองของระบบพรรคการเมืองมีอิทธิพลมากยิ่งขึ้นในการผลักดันนักการเมืองที่มีบุคลิกเป็นผู้น าทาง

               การเมืองมาแสวงหาการสนับสนุนจากเสียงในสภา โดยที่ระบบบัญชีรายชื่อก็มีส่วนสนับสนุนให้พรรคสามารถ
               น าเอานักการเมืองที่มีความสามารถแต่ไม่มีท้องถิ่นอิทธิพลของตัวเองมาเป็นผู้น าทางการเมืองภายใต้ภาพลักษณ์

               ของพรรคการเมืองที่มีนโยบายและอัตลักษณ์ทางการเมืองโดดเด่นได้เช่นกัน เช่นนี้แล้วการต่อรองทางการเมืองจึง
               เปลี่ยนกระบวนทัศน์ไปจากการต่อรองของมุ้งการเมืองในระบบรัฐสภาสู่การต่อรองระหว่างพรรคการเมืองที่มีผู้น า

               เชิงบารมีประจ าพรรคการเมืองมาต่อรองหาแรงสนับสนุนทางการเมืองในยุคที่ระบบพรรคการเมืองต้องมีความ
               เข้มแข็งแทน

                       นอกจากนั้นในส่วนของบทเรียนจากความตื่นตัวของภาคประชาสังคมในห้วงเวลาหลังเหตุการณ์พฤษภา
               ทมิฬเป็นต้น ส่งผลให้ภาคการเมืองตอบรับต่อกระแสความคิดเรื่องการกระจายอ านาจและการมีส่วนร่วมของ
               ประชาชน เจตนารมณ์ที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 สะท้อนอกมาก็คือ มาตรา 214 ว่าด้วยประชามติ

                              “มาตรา 214 ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่ากิจการในเรื่องใดอาจกระทบถึงผลประโยชน์ได้เสีย

                       ของประเทศชาติหรือประชาชน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอาจปรึกษา
                       ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียง
                       ประชามติได้

                              การออกเสียงประชามติต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการขอปรึกษาความเห็นของประชาชนว่าจะ
                       เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกิจการส าคัญเรื่องใดเรื่องหนึ่งในวรรคหนึ่งซึ่งมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อ

                       รัฐธรรมนูญนี้ การออกเสียงประชามติที่เกี่ยวกับตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
                       โดยเฉพาะ จะกระท ามิได้”

                       ด้วยเหตุนี้จึงสามารถพิจารณาความสัมพันธ์เชิงอ านาจของรัฐมนตรีได้ถึงอ านาจน าที่สัมพันธ์กับระบบ
               รัฐสภาที่พรรคการเมืองเข้มแข็งเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในการต่อรองทางการเมืองในการผลักดันผู้ที่จะมาด ารงต าแหน่ง

               นายกรัฐมนตรี อีกทั้งเมื่อนายกรัฐมนตรีต้องเผชิญกับแรงกดดันหรือข้อต่อรองในรัฐสภา หากนายกรัฐมนตรีมองว่า
   181   182   183   184   185   186   187   188   189   190   191