Page 162 - 23154_Fulltext
P. 162

157


               มิได้ทรงแต่งตั้งผู้ส าเร็จราชการแทน รวมถึงมาตรา 18 ก็ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ส าเร็จราชการแทนไปพลาง

               ก่อนในกรณีที่ไม่มีผู้ส าเร็จราชการแทนที่มาจากมาตรา 16 หรือ 17 ซึ่งอ านาจในส่วนการแต่งตั้งหรือเป็นผู้ส าเร็จ
               ราชการแทนในช่วงป้องกันสภาวะสุญญากาศทางการเมืองนี้มีพลวัตมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นอ านาจของ
               ประธานสภา หรืออ านาจของประธานวุฒิสภา และในที่สุดอ านาจดังกล่าวก็ถูกเปลี่ยนย้ายมาอยู่กับองคมนตรีที่ยึด

               โยงกับการแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัยโดยตรง ขณะที่รัฐสภามีหน้าที่เพียงเห็นชอบรับรองมติขององคมนตรี
               เช่นเดียวกับมาตรา 21 ว่าด้วยอ านาจขององคมนตรีเสนอนามผู้สืบราชสันตติวงศ์เพื่อให้รัฐสภาท าหน้าที่ให้ความ

               เห็นชอบ และเมื่อให้ความเห็นชอบแล้ว ประธานรัฐสภาจึงมีหน้าที่อัญเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็น
               พระมหากษัตริย์สืบไป จากมาตราข้างต้นจึงสะท้อนสภาวะที่อ านาจความเป็นการเมืองในการตัดสินใจต่อประเด็น

               เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นถูกย้ายออกจากระบบรัฐสภาไปอยู่ที่คณะองคมนตรี โดยรัฐสภามีหน้าที่แสดงความ
               เห็นชอบต่ออ านาจการตัดสินใจของคณะองคมนตรีเท่านั้น

                       ประการที่สอง ความสัมพันธ์เชิงอ านาจภายในระบบรัฐสภาระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา สังเกต
               ได้ว่าระบบรัฐสภากลับมาเป็นระบบสภาคู่อีกครั้งภายใต้ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่ไม่เท่าเทียมกัน สังเกตได้จากการ
               จัดวางต าแหน่งประธานรัฐสภา ซึ่งท าหน้าที่ควบคุมความเรียบร้อยในการประชุมสภาและท าหน้าที่รับรองตาม

               บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 75 ก าหนดไว้ว่า

                              “มาตรา 75 ประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นรองประธาน
                       รัฐสภา
                              ประธานรัฐสภามีอ านาจหน้าที่ด าเนินการของรัฐสภาในกรณีการประชุมสภาร่วมกันให้เป็นไปตาม

                       ระเบียบ และมีอ านาจหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้”

                       จากบทบัญญัติข้างต้นสังเกตได้ถึงความพยายามในการน าเอาวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งให้กลับมาเป็น
               ฝ่ายใช้อ านาจน าควบคุมกลไกรัฐสภาอีกครั้งในฐานะประธานรัฐสภา โดยที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นเพียงรอง
               ประธานรัฐสภาเท่านั้น ความสัมพันธ์เชิงอ านาจในลักษณะนี้จึงเป็นการรื้อฟื้นกลไกที่เคยบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.

               2511 มาตรา 78 ซึ่งเป็นการน าเอาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ที่ต้องการให้วุฒิสภาเป็นกลไกครอง
               อ านาจน าในระบบรัฐสภาและรับบทบาทรับรองความชอบธรรมของพระราชอ านาจที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญให้

               กลับมาอีกครั้ง ทั้งนี้ในสัดส่วนของที่มาและจ านวนสมาชิกวุฒิสภายังคงถอดแบบมาจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 ใน
               มาตรา 84 และ 85 โดยมีสาระส าคัญคือ มีที่มาจากการแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิและไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
               ใด มีจ านวนไม่เกิน 3 ใน 4 ของจ านวนสมาชิกทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกภาพของวุฒิสภามีคราวละ

               6 ปี โดยที่มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยคือ อายุของวุฒิสมาชิกต้องไม่ต่ ากว่า 35 ปี แต่ค าถามต่อมาคือ เมื่อวุฒิสภา
               ก าหนดจ านวนด้วยสัดส่วนแทนที่จะเป็นการก าหนดจ านวนคนชัดเจน แล้วจ านวนของสภาผู้แทนราษฎรมีจ านวน

               เท่าใด ซึ่งตามมาตรา 90 ก าหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีสัดส่วน 1 คนต่อทุกประชากร 150,000 คน หากจังหวัดใด
               มีไม่ครบเกณฑ์ 150,000 คนก็ให้ถือว่ามีจ านวน 1 คน และจังหวัดที่มีเกินกว่านั้นก็ให้เพิ่มจ านวนสภาผู้แทนราษฎร

               ตามสัดส่วนประชากรที่เกินมา กล่าวคือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 ใช้เกณฑ์ของจ านวนอิงตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.
               2511 สมัยถนอมโดยอิงกับสัดส่วนและไม่ได้ก าหนดจ านวนสมาชิกแบบตายตัว อีกทั้งสัดส่วนของวุฒิสภาจากการ

               แต่งตั้งยังมากเกือบเท่ากับสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งอีกด้วย ขณะที่สัดส่วนใกล้เคียงกัน ทว่าข้อจ ากัดใน
   157   158   159   160   161   162   163   164   165   166   167