Page 159 - 23154_Fulltext
P. 159

154


                              เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการหรือกระท าการใดไปตามความในวรรคหนึ่งแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีแจ้ง

                       ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ”


                       จากมาตรา 27 ในข้างต้น แม้ว่าเนื้อความว่าด้วยอ านาจสภาวะฉุกเฉินที่นายกรัฐมนตรีสามารถใช้ได้เพื่อ
               ประโยชน์ในด้านความมั่นคงภายใต้ความเห็นชอบของสภานโยบายแห่งชาติ แต่สิ่งที่สังเกตได้ก็คือ ความ

               เปลี่ยนแปลงจากหน่วยงานสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สภานโยบายแห่งชาติ” ซึ่งแม้ว่า
               เปลี่ยนชื่อ แต่ว่าก็ยังคงเป็นต าแหน่งที่เป็น “สภาจ าแลง” ที่คณะปฏิวัติใช้เพื่อรักษาอ านาจทางการเมืองผ่าน
               รัฐธรรมนูญนั่นเอง

                       ประการที่สาม ในระบบรัฐสภาภายใต้ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2520 ที่คณะปฏิวัติครองอ านาจน า
               ทางการเมืองในบริบทการเมืองขณะนั้น คณะรัฐมนตรีเองก็ถูกยึดเอาอ านาจในการก าหนดนโยบายแห่งชาติให้มา

               อยู่ในขอบเขตอ านาจหน้าที่ของ “สภานโยบายแห่งชาติ” ซึ่งเป็นต าแหน่งใหม่ที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ โดยมีที่มา
               และอ านาจหน้าที่ตามมาตรา 17 และ 18 ดังบัญญัติไว้ว่า

                              “มาตรา 17 ให้มีสภานโยบายแห่งชาติ ประกอบด้วยบุคคลในคณะปฏิวัติตามประกาศของคณะ
                       ปฏิวัติ ฉบับที่ 6 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2520 เป็นสมาชิก

                              ให้หัวหน้าคณะปฏิวัติเป็นประธานสภานโยบายแห่งชาติ รองหัวหน้าคณะปฏิวัติเป็นรอง
                       ประธานสภานโยบายแห่งชาติ และให้สภานโยบายแห่งชาติแต่งตั้งสมาชิกนโยบายแห่งชาติเป็นเลขาสภา

                       นโยบายแห่งชาติคนหนึ่ง และรองเลขาธิการสภานโยบายแห่งชาติคนหนึ่ง”
                              “มาตรา 18 สภานโยบายแห่งชาติมีอ านาจหน้าที่ก าหนดแนวนโยบายแห่งรัฐ และให้ความ

                       คิดเห็นแก่คณะรัฐมนตรีเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามนโยบายแห่งรัฐ และมีหน้าที่อื่นตาม
                       บัญญัติไว้ในธรรมนูญการปกครองนี้”

                              “มาตรา 21 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามค ากราบบังคมทูลของ
                       ประธานสภานโยบายแห่งชาติ และรัฐมนตรีตามจ านวนที่นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูล  ประกอบเป็ น

                       คณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน”
                       เมื่อพิจารณาจากที่มาและอ านาจหน้าที่จึงสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นต าแหน่งที่มีไว้เพื่อสืบทอดอ านาจของ

               คณะปฏิวัติให้สามารถครอบง าการเมืองอย่างเป็นระบบผ่านรัฐธรรมนูญ โดยที่มานั้นยึดโยงโดยตรงกับสมาชิกของ
               คณะปฏิวัติที่น าโดยสงัด และอ านาจหน้าที่ก็เป็นการก าหนดแนวนโยบายแห่งรัฐ ซึ่งเป็นอ านาจในการผูกขาดการ

               จัดสรรผลประโยชน์ของตลาดการเมืองโดยตรงตั้งแต่ระดับนโยบายรัฐ ลงมาถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มาจากการ
               แต่งตั้ง อีกทั้งนายกรัฐมนตรีก็อยู่ภายใต้การเลือกของคณะปฏิวัติตามมาตรา 21 ซึ่งท าให้ผู้ที่จะมาเป็น
               นายกรัฐมนตรีนั้นตกเป็นของผู้ที่มีอ านาจต่อรองผลประโยชน์กับคณะปฏิวัติได้ดังที่เกรียงศักดิ์ได้รับเลือกเป็น

               นายกรัฐมนตรีเพื่อประนีประนอมอ านาจระหว่างสองขั้วอ านาจส าคัญของกองทัพ
                       โดยสรุปแล้วในส่วนของตัวบทจึงสังเกตได้ทั้งส่วนของเนื้อหาที่คงเดิมจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 ทั้งใน

               ส่วนของระบบสภาเดี่ยว จ านวน 300-400 คนที่มาจากการแต่งตั้ง ทว่ามีอ านาจที่จ ากัดลงเหลือเพียงพิจารณาร่าง
   154   155   156   157   158   159   160   161   162   163   164