Page 154 - 23154_Fulltext
P. 154

149


               นายกรัฐมนตรีในมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 และธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2515 โดย

               กลับมาอีกครั้งในมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519
                              “มาตรา 21 ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นเป็นความจ าเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการป้องกัน ระงับ
                       หรือปราบปรามการกระท าอันเป็นการบ่อนท าลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราชบัลลังก์ หรือ

                       เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน หรือการกระท าอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคาม ความสงบ
                       เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือการกระท าอันเป็นการท าลายทรัพยากรของประเทศ หรือ

                       เป็นการบั่นทอนสุขภาพอนามัยของประชาชน ทั้งนี้ไม่ว่าการกระท าจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันหลัง
                       ประกาศรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และไม่ว่าเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้นายกรัฐธรรมนูญโดย

                       ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีและสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี มีอ านาจสั่งการหรือกระท าการใด ๆ
                       ได้ และให้ค าสั่งหรือการกระท าเช่นว่านั้นรวมถึงการปฏิบัติตามค าสั่งดังกล่าว เป็นค าสั่งหรือการกระท า

                       หรือการปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมาย
                              เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการหรือกระท าการใดไปตามความในวรรคหนึ่งแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีแจ้ง

                       ให้สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินทราบ”
                       ซึ่งบัญญัติในมาตรา 21 นั้นเนื้อความเหมือนกับมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 และ

               ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2515 แทบทุกข้อความ โดยมีความแตกต่างคือต้องได้รับความเห็นชอบและต้อง
               นายกรัฐมนตรีแจ้งรายงานต่อสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นอกจากนั้นยังถือว่าอ านาจตามมาตรา 21 ถือเป็น
               อ านาจรวมมศูนย์เบ็ดเสร็จของนายกรัฐมนตรีด้วยเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญเพื่อก าราบภัยคุกคามความมั่นคงของรัฐ

               ซึ่งอาจเป็นเพราะมองว่าความส าเร็จสมัยรัฐบาลสฤษดิ์และถนอมถือเป็นความส าเร็จของรัฐบาลเผด็จการที่ต้องการ
               รวมศูนย์อ านาจเพื่อให้อ านาจบริหารรวดเร็วในการตอบสนองต่อการรับมือกลุ่มคอมมิวนิสต์ในห้วงเวลานั้น

                       ทั้งนี้ประการที่สามคือ ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่ฝ่ายนิติบัญญัติครองอ านาจในการตีความและวินิจฉัย
               รัฐธรรมนูญ เพราะว่าต าแหน่งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้หายไปอีกครั้งจากในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ขณะเดียวกันได้

               ถูกแทนที่อ านาจดังกล่าวด้วยความตามมาตรา 25 ดังนี้
                              “มาตรา 25 เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้บังคับแก่กรณีใด  ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไป

                       ตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย
                              ในกรณีมีปัญหาการวินิจฉัยตามความในวรรคหนึ่งเกิดขึ้นในวงงานของสภาปฏิรูปการปกครอง

                       แผ่นดิน หรือเกิดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรี ขอให้สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินวินิจฉัย ให้สภาปฏิรูปการ
                       ปกครองแผ่นดินวินิจฉัยชี้ขาด”

                       หรืออธิบายโดยสรุปได้ว่า อ านาจการวินิจฉัยตีความประเด็นกรณีเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้อยู่
               ภายใต้อ านาจของตุลาการรัฐธรรมนูญอีกต่อไป หากแต่เป็นการตีความโดยตรงจากสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน

               ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการตัดขาดอ านาจการมีส่วนร่วมตีความรัฐธรรมนูญจากตัวแทนของผู้มีความเชี่ยวชาญทาง
               นิติศาสตร์หรือมีอาวุโสในสายอาชีพตุลาการ และรวมอ านาจเหล่านั้นไว้ที่สมาชิกรัฐสภาที่มาจากการแต่งตั้งโดย

               กองทัพ
   149   150   151   152   153   154   155   156   157   158   159