Page 156 - 23154_Fulltext
P. 156

151


               ปกครองแผ่นดิน ทั้งอ านาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ จึงอยู่ภายใต้อ านาจน าของคณะปฏิรูปการปกครอง

               แผ่นดินภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519



                       4.12 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2520

                       บริบททางการเมือง

                       จากเดิมที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 ถือก าเนิดขึ้นท่ามกลางบริบทของความขัดแย้งและความรุนแรงที่มีต่อ

               อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่ก าลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก ประกอบกับกองทัพที่กลับมาแสดงบทบาททางการเมืองอีก
               ครั้งเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงภายใต้อุดมการณ์ชาตินิยมขวาจัด ท าให้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 กลายเป็น

               เครื่องมือเพื่อการรื้อฟื้นอ านาจเผด็จการแบบสมัยถนอมหรือสฤษดิ์อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้หลังจากประกาศใช้
               รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 ได้ก่อให้เกิดปัจจัยทางการเมืองที่มีผลส าคัญน ามาสู่การรัฐประหารอีกครั้งในระยะเวลาสั้น

               พร้อมกับมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2520 อย่างน้อยสองประการที่พอสังเกตได้ ได้แก่
                       ประการแรก ความไม่ประนีประนอมทางการเมืองจนเกินไปของรัฐบาลธานินทร์ เนื่องจากนโยบายของ

               รัฐบาลนายธานินทร์เน้นการต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างสุดโต่งจนเกิดความตึงเครียดในสังคม ยึดกฎเกณฑ์จนเกินไป
               บริหารงานรัฐบาลอย่างแข็งกร้าว และมีจุดยืนอนุรักษ์นิยมล้นเกินในลักษณะที่เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายขวาตกขอบ จน
               ท าให้ไม่สามารถรักษาเสียงสนับสนุนจากประชาชนและน ามาสู่วิกฤตศรัทธาต่อมา (ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 409;

               บุญชนะ อัตถากร, 2526: 159, 166) รวมถึงการก่อความขัดแย้งต่อไม่เพียงแต่กับขบวนการฝ่ายซ้ายเท่านั้น แต่ยัง
               มีคู่ขัดแย้งทั้งข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น สื่อมวลชน ตลอดจนขบวนการฝ่ายขวาอย่างลูกเสือชาวบ้าน (ภูริ ฟู

               วงศ์เจริญ, 2563: 409)  ความขัดแย้งที่รัฐบาลธานินทร์มีต่อหลากหลายกลุ่มจึงน ามาซึ่งการลดลงของความนิยม
               และเสถียรภาพของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งภายในกองทัพที่ส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล

                       ประการที่สอง ความขัดแย้งระหว่างสองขั้วอ านาจหลักในกองทัพ แบ่งเป็น ขั้วแรกน าโดยพลเรือเอกสงัด
               ชลออยู่ ซึ่งเคยน ากองทัพรัฐประหารในนามของคณะปฏิรูปมาแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2519 กับอีกขั้วน าโดยพลเอกเกรียง

               ศักดิ์ ชมะนันทน์ โดยความขัดแย้งเริ่มจากการจัดระเบียบขั้วอ านาจที่อ่อนแอกว่าลง ดังสังเกตได้จากกรณีของการ
               ขจัดเครือข่ายของพลเอกฉลาด หิริญศิริ ให้พ้นจากต าแหน่ง จนในที่สุดคณะปฏิรูปภายใต้สงัดได้กดดันให้
               นายกรัฐมนตรีธานินทร์ประหารชีวิตฉลาดด้วยมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 (บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ,

               2563: 131; ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 410-411) หลังจากเหลือเพียง 2 ขั้วอ านาจใหญ่ ท าให้ขั้วอ านาจของเกรียง
               ศักดิ์มุ่งที่การล้มรัฐบาลธานินทร์ ซึ่งจะน ามาสู่การจัดสรรอ านาจใหม่ทั้งหมดและส่งผลกระทบโดยตรงต่อขั้วอ านาจ

               ของสงัด ท่ามกลางกระแสการกดดันรัฐบาลหลังจากเกรียงศักดิ์ประกาศเลิกสนับสนุนรัฐบาลธานินทร์และเมื่อ
               ธานินทร์เองก็ตอบโต้อย่างแข็งกร้าวด้วยการปฏิเสธการปรับคณะรัฐมนตรี จึงส่งผลให้เกิดการรัฐประหารอีกครั้ง

               โดยคณะปฏิรูปของสงัด ทว่าท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างการต่อรองทางการเมืองระหว่างขั้วอ านาจในกองทัพ
               ของสงัดกับเกรียงศักดิ์ จึงจบลงด้วยการส่งต่อต าแหน่งนายกรัฐมนตรีให้เกรียงศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปแทน

               ธานินทร์
   151   152   153   154   155   156   157   158   159   160   161