Page 151 - 23154_Fulltext
P. 151

146


               ต่อต้านมวลชน และลูกเสือชาวบ้านที่จัดตั้งโดยต ารวจตระเวนชายแดนเพื่อต่อต้านขบวนการคอมมิวนิสต์ (เบเคอร์

               & พงษ์ไพจิตร, 2559: 267) หรือแม้กระทั่งพระกิตติวุฑโฒที่ประกาศในลักษณะที่ว่า การฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป
               เพราะการฆ่ามารเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน เพื่อรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตัวแสดงกลุ่มนี้มีทัศนคติ
               ร่วมกันในลักษณะที่เห็นด้วยกับการกวาดล้างฝ่ายซ้ายผ่านการยัดเยียดตีตราขบวนการนักศึกษาและผู้ประท้วงอย่าง

               กรรมกรหรือชาวนาว่าเป็นศัตรูต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึงการใช้สถานีวิทยุเพื่อปลุกระดมฝ่ายขวา
               ผ่านเพลงหนักแผ่นดิน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นความพยายามของฝ่ายขวาในการลดทอนความเป็นมนุษย์เพื่อ

               สร้างความชอบธรรมในการก าจัดฝ่ายตรงข้าม (ประจักษ์ ก้องกีรติ, 2559: 39-41; บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, 2563:
               129)

                       ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายมีจุดแตกหักส าคัญตั้งแต่ช่วงที่มีการเดินทางกลับไทยของจอมพลถนอมที่
               บวชเณร ก่อให้เกิดการประท้วงของนักศึกษาและแรงงาน การฆาตกรรมของพนักงานการไฟฟ้าที่นครปฐมยิ่งท าให้

               การประท้วงของนักศึกษาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทว่าการแสดงละครเสียดสีเหตุการณ์ฆาตกรรมดังกล่าวกลับถูก
               กล่าวหาว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและถูกน ามาใช้เป็นข้อโจมตีปลุกกระแสความเกลียดชังนักศึกษา แล้ว
               น ามาสู่เหตุการณ์โศกนาฏกรรมสังหารหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และที่สนามหลวงเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม

               พ.ศ. 2519 มีระบุจ านวนอย่างเป็นทางการของผู้เสียชีวิต 43 คน ถูกจับกุม 3,059 คน แม้ว่าขณะวันนั้นรัฐบาล
               หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จะยังคงอยู่ในอ านาจทว่าไม่สามารถสั่งการระงับความรุนแรงใดได้เลย (บัณฑิต จันทร์

               โรจนกิจ, 2563: 129-130; คริส เบเคอร์ และผาสุก พงษ์ไพจิตร, 2559: 269-270; ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 394-
               399)โดยมูลเหตุที่ท าให้เกิดการบุกสังหารครั้งนี้ ข้ออ้างของกองก าลังต ารวจพลร่มจากค่ายนเรศวรคือ เพื่อปราบ

               กลุ่มคอมมิวนิสต์ มีการซ่องสุมอาวุธและอุโมงค์ลับในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ & เพชรเลิศ
               อนันต์, 2556: 235, 313)  ท้ายที่สุดแล้วก็เกิดรัฐประหารขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 โดยคณะปฏิรูปการ

               ปกครองแผ่นดิน น าโดยพล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ ต่อมาได้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร
               อดีตผู้พิพากษา ซึ่งเคยมีบทบาทในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ขบวนการนักศึกษา และนักการเมืองหัวก้าวหน้า โดย
               ประกาศหลังจากธานินทร์ได้รับการแต่งตั้ง เขาได้ประกาศขอเวลา 12 ปีส าหรับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อคืนสู่

               ประชาธิปไตย
                       ดังนั้นแล้วจึงสังเกตได้ว่าบริบททางประวัติศาสตร์ของการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 จึงมีปัจจัยส าคัญอยู่

               ที่ ประการแรกคือ ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างฝ่ายชาตินิยมอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายสนับสนุนคอมมิวนิสต์ ซึ่ง
               ภายหลังจากที่เกิดความรุนแรงโดยรัฐในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ส่งผลให้เกิดการผลักไสนักศึกษา

               ปัญญาชน และประชาชนส่วนหนึ่งให้จ าเป็นต้องเข้าร่วมกับขบวนการคอมมิวนิสต์ และประการที่สองคือ ความ
               พยายามกลับคืนสู่อ านาจการเมืองของกองทัพ หลังจากปลุกปั่นขบวนการฝ่ายชาตินิยมแล้วก็ได้ท าการรัฐประหาร

               เพื่อน าเอาอ านาจการเมืองกลับมาโดยที่ให้ผู้ประคองต าแหน่งนายกรัฐมนตรีมาจากฝ่ายพลเรือนที่ต่อต้าน
               คอมมิวนิสต์และขบวนการนักศึกษา ภายใต้กระแสของความเป็นชาตินิยมขวาจัดดังกล่าวจึงส่งผลต่อเจตนารมณ์
               บางประการในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 ดังจะพิจารณาต่อไป
   146   147   148   149   150   151   152   153   154   155   156