Page 150 - 23154_Fulltext
P. 150

145


               เป็นตัวแทนเสียงข้างน้อยจากการแต่งตั้งลง ถัดมาที่ความสัมพันธ์เชิงอ านาจภายในระบบรัฐสภาระหว่างสภา

               ผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภากลับมาเป็นความสัมพันธ์ที่สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งกลับมามีอ านาจในฐานะ
               ตัวแทนของประชาชนอีกครั้ง ส่งผลให้สามารถครองอ านาจตัดสินใจทางการเมืองในประเด็นส าคัญต่อประชาชน
               อย่างเรื่องของการเสนอร่างพระราชบัญญัติ รวมถึงร่างพระราชบัญญัติทางการเงิน หลังจากที่รัฐธรรมนูญบางฉบับ

               เคยให้อ านาจทั้งสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งและวุฒิสภาจากการแต่งตั้งมีอ านาจเสนอและพิจารณาร่าง
               กฎหมายเทียบเท่ากัน ขณะที่อ านาจจากมาตรา 165 ก าหนดให้ทั้งสองมีอ านาจเท่ากันในการประชุมสภาร่วมกันใน

               ประเด็นส าคัญระดับชาติ อาทิ การแต่งตั้งผู้ส าเร็จราชการ การสืบราชสันตติวงศ์ การปรึกษาพระราชบัญญัติ การ
               ตีความหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการแต่งตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ขณะที่ทั้งสองสภาก็สามารถถูก

               ตรวจสอบไม่ให้เกิดการผูกขาดทรัพยากรทางเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนด้วยอ านาจขององค์กรที่ตั้งใหม่คือ
               ผู้ตรวจเงินแผ่นดินของรัฐสภา ที่แต่งตั้งโดยรัฐสภาผ่านมาตรา 165 (9) ซึ่งมีอ านาจตามมาตรา 170 และ 172 ใน

               การตรวจสอบการรับจ่ายและทรัพย์สินของหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนรัฐสภา


                       แล้วท้ายที่สุดนี้ รัฐสภามีส่วนส าคัญมากขึ้นในการเลือกผู้ที่จะมาเป็นคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก
               สัดส่วนของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน แบ่งเป็นรัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ 3 คน มาจากฝ่ายบริหารหรือ

               คณะรัฐมนตรี 3 คน หรือก็คือ มีถึง 6 คนเป็นผู้ที่มาจากผู้แทนในระบบรัฐสภา และมาจากคณะกรรมการตุลาการ
               หรือฝ่ายตุลาการ 3 คน อย่างไรก็ตาม อ านาจในการถ่วงดุลอ านาจของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญก็มีเช่นกันผ่าน
               อ านาจในการตีความร่างพระราชบัญญัติที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ



                       6.2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2519

                       บริบททางการเมือง

                       บริบททางการเมืองที่ส่งผลต่อการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 เกิดขึ้นโดยมีหมุดหมายส าคัญจากเหตุการณ์

               สังหารหมู่โดยรัฐในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 โดยอันดับแรกเมื่อย้อนกลับไปถึงค าถามต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517
               ซึ่งเป็นฉบับก่อนหน้า ความปั่นป่วนทางการเมืองที่มาจากการเมืองภาคประชาชนที่ถูกกดทับไว้นานภายใต้รัฐบาล

               เผด็จการทหารจอมพลถนอมมาอย่างยาวนาน จนส่งผลให้เกิดการประท้วงของขบวนการนักศึกษา เกษตรกร และ
               ชาวบ้าน การ นัดหยุดงาน ประกอบกับกระแสของแนวคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่แพร่หลายในห้วงเวลานั้น ท าให้
               สังคมมองว่าความเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ส่งผลทางลบต่อประชาธิปไตยเสียมากกว่า

               และการเมืองในระบบรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 เองก็ไม่มีเสถียรภาพเพียงพอในทางปฏิบัติ เพราะข้อ
               เรียกร้องของขบวนการทางสังคมมีมากเกินกว่าความสามารถในการตอบสนองเพื่อแก้ไขปัญหาโดยรัฐบาล (บัณฑิต

               จันทร์โรจนกิจ, 2563: 128; ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 365-368)
                       ความไม่มั่นคงในทางการเมืองอันเกิดจากการเมืองภาคประชาชนที่รัฐมองว่าเป็นภัยคุกคามในข้างต้น ตัว

               แสดงกลุ่มหนึ่งที่ออกมาตอบรับกับปฏิกิริยาของสังคมในขณะนั้นก็คือ ขบวนการนวพลที่ให้การสนับสนุนโดยกอง
               อ านวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และกระทรวงมหาดไทย กลุ่มกระทิงแดงที่จัดตั้งโดย กอ.รมน. เพื่อ
   145   146   147   148   149   150   151   152   153   154   155