Page 148 - 23154_Fulltext
P. 148

143


               ต าแหน่งตามมาตรา 168 จากการแต่งตั้งตามมติของรัฐสภา โดยอ านาจหน้าที่ของผู้ตรวจเงินแผ่นดินของรัฐสภา

               เป็นไปตามมาตรา 170 และมาตรา 172 ที่บัญญัติว่า
                              “มาตรา 170 ให้ผู้ตรวจเงินแผ่นดินของรัฐสภามีอ านาจหน้าที่ในการตรวจสอบการรับจ่ายเงินของ
                       แผ่นดิน และการรับจ่ายเงินและทรัพย์สินของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ รวมทั้ง

                       ท้องถิ่นและหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ”

                              “มาตรา 172 ผู้ตรวจเงินแผ่นดินของรัฐสภาจะต้องน าเสนอรายงานการตรวจสอบการรับจ่ายเงิน
                       และทรัพย์สินตามอ านาจหน้าที่พร้อมทั้งข้อสังเกตต่อรัฐสภาตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ”
                       จากอ านาจหน้าที่ตาม 2 มาตราในข้างต้นสะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ที่

               พยายามปรับใช้ต้นแบบขององค์กรส านักงานคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการ (ก.ต.ป.) ที่
               เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลถนอม น ามาปรับใช้ด้วยการท าให้เป็นสถาบันเพื่อการตรวจสอบความโปร่งใสทางการเงินและ

               ทรัพย์สินในระบบรัฐสภาอย่างเป็นทางการ และเพื่อเป็นการควบคุมไม่ให้องค์กรตรวจสอบกลับมาครอบง าต่อรอง
               ผลประโยชน์กับรัฐสภาเสียเองแบบที่ประภาสเคยท าในอดีต ผู้ตรวจเงินแผ่นดินของรัฐสภาจึงไม่ได้มีขอบเขตอ านาจ

               ที่มากในระดับพิพากษาหรือให้โทษแก่สมาชิกรัฐสภาได้ หากแต่มีเพียงอ านาจตรวจสอบทางการเงินเท่านั้น ในทาง
               กลับกัน มาตรา 168 ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนผู้ตรวจเงินแผ่นดินของรัฐสภาโดยการลงมติของสมาชิกรัฐสภา

               จึงกลายเป็นกลไกที่จะตรวจสอบถ่วงให้เกิดความสมดุลในความสัมพันธ์ที่มีการตรวจสอบกัน 2 ทางอีกด้วย
                       ประการที่สาม ความสัมพันธ์เชิงอ านาจระหว่างรัฐสภากับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ความเปลี่ยนแปลง

               ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญฉบับนี้เองก็ได้เปลี่ยนไปตามความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่เปลี่ยนแปลงไป
               ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เมื่อพิจารณาอันดับแรกจากที่มาของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ สังเกตได้ว่ามาตรา 218 แม้ว่า

               จะคงจ านวนไว้ที่ 9 คน แต่เปลี่ยนแปลงที่มาดังนี้
                              “มาตรา 218 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการรัฐธรรมนูญจ านวน 9 คน โดย
                       รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการตุลาการตามมาตรา 210 เป็นผู้เลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิ มีจ านวน

                       ฝ่ายละ 3 คน

                              ให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญเลือกตุลาการรัฐธรรมนูญคนหนึ่งเป็นประธาน”


                       จะสังเกตได้ว่าจากเดิมที่จ าใช้วิธีจ าแนกที่มา 2 แบบระหว่างก าหนดเกณฑ์วิชาชีพ และการคัดสรรจาก
               รัฐสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรแบบในอดีต ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ได้จ าแนกให้เป็นอ านาจคัดสรรผู้ที่จะมาเป็น

               คณะตุลาการรัฐธรรมนูญให้มีความยึดโยงกับตัวแทนของประชาชนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการคัดโดยรัฐสภา หรือ
               คณะรัฐมนตรี กลุ่มละ 3 คน แต่ก็ให้ความส าคัญกับวิชาชีพทางนิติศาสตร์ด้วยการให้สัดส่วน 3 คนมาจาก
               คณะกรรมการตุลาการซึ่งได้รับต าแหน่งโดยวิชาชีพ ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ข้าราชการฝ่ายตุลาการ และ

               ผู้ทรงคุณวุฒิอีก 8 คน กล่าวได้ว่า สัดส่วนจาก 9 คน มี 6 คนที่เลือกโดยตัวแทนที่ยึดโยงกับประชาชน ขณะที่อีก 3
               คนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางวิชาชีพด้านนิติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดการครอบง าฝ่ายตุลา

               การโดยนิติบัญญัติแต่ทางเดียว เนื่องจากมีกลไกการถ่วงดุลอ านาจจากคณะตุลาการรัฐธรรมนูญผ่านอ านาจตีความ
   143   144   145   146   147   148   149   150   151   152   153