Page 144 - 23154_Fulltext
P. 144
139
โครงสร้างอ านาจหน้าที่ของรัฐสภา
เมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ค าปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ให้ความส าคัญกับกระแสการ
เรียกร้องรัฐธรรมนูญด้วยความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในวันที่ 13 และ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 การแสดง
ประชามติอันแรกกล้าเพื่อก้าวข้ามวิกฤตการณ์ทางการเมืองในครั้งนั้น ตลอดจนการเสียสละชีวิตและการบาดเจ็บ
ของประชาชน จึงเป็นการสะท้อนความปรารถนาของมหาชนได้เป็นอย่างดีที่จะให้มีการแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และ
ตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ฉบับนี้จึงได้ระบุชัดเจนในค าปรารภว่า
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจึงเป็นตอบสนองปณิธานร่วมของปวงชนชาวไทยตามระบอบประชาธิปไตย และเพื่อ
ตอบสนองเจตนารมณ์ของการเมืองภาคประชาชน การกระจายอ านาจของการเมืองท้องถิ่นจึงเกิดขึ้นเป็นทางการ
ครั้งแรกผ่านการบัญญัติหมวด 9 ว่าด้วยการปกครองท้องถิ่น และให้สิทธิ์เลือกตั้งท้องถิ่นครั้งแรกแก่ประชาชนใน
มาตรา 216 นอกจากนั้นในหมวดที่ 1 มาตรา 4 ยังสังเกตได้ถึงความพยายามริเริ่มวางบทลงโทษแก้ผู้ที่จะมาเป็น
ปฏิปักษ์ต่อประมุขและรัฐธรรมนูญ โดยวางข้อก าหนดให้ความผิดเหล่านั้นไม่สามารถนิรโทษกรรมได้ หรือก็คือคณะ
รัฐประหารที่จะกระท าการในภายภาคหน้าจะไม่สามารถนิรโทษกรรมตัวเองหลังจากการฉีกรัฐธรรมนูญได้นั่นเอง
อย่างน้อยในทางทฤษฎี
นอกจากนั้นแล้ว เมื่อกลับมาเป็นระบบรัฐสภาที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กองทัพอีกต่อไป ระบบรัฐสภาจึงกลับเข้าสู่
การเป็นระบบสภาคู่เช่นเดิมที่แบ่งเป็นวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร (ค าว่า “ราษฎร” อันสะท้อนนัยของความ
เป็นตัวแทนประชาชนถูกน ากลับเข้ามาในชื่ออีกครั้ง) ขณะที่มาตรา 96 จัดวางสมดุลระหว่างทั้งสองสภาให้ประธาน
รัฐสภามาจากประธานสภาผู้แทนราษฎร และมีรองประธานรัฐสภามาจากวุฒิสภา ซึ่งเป็นการจัดความสัมพันธ์เชิง
อ านาจให้สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งมีอ านาจสัมพันธ์กับที่มาจากประชาชน โดยมีวุฒิสภาเป็นรอง
ประธานสภาเพื่อก ากับความเรียบร้อยในสภาเพื่อเสนอความคิดเห็นในมุมที่ต่างออกไปแทน อย่างไรก็ตามประเด็น
หนึ่งที่เป็นประเด็นส าคัญที่สังเกตได้จากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ก็คือ “การขจัดอ านาจของระบอบรัฐราชการออก
จากระบบรัฐสภา” ซึ่งเป็นปัญหาเดิมที่ถนอมเคยใช้การเมืองรัฐสภาเพื่อต่อรองดึงเอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
จากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนใช้อ านาจรัฐเพื่อขูดรีดผลประโยชน์จากบริษัทเอกชนเข้ามายังตระกูลของตนเอง
และพวกพ้อง เพื่อป้องกันเหตุดังกล่าว มาตรา 103 ได้บัญญัติว่า
“มาตรา 103 สมาชิกวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร
(1) ต้องไม่ด ารงต าแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ
หรือต าแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้นอกจากต าแหน่ง
รัฐมนตรีหรือข้าราชการการเมืองอื่น
(2) ต้องไม่รับสัมปทานจากรัฐหรือหน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือ
คงถือไว้ซึ่งสัมปทานนั้นหรือเป็นคู่สัญญากับรัฐหรือหน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานของรัฐหรือ
รัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน ทั้งนี้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม