Page 142 - 23154_Fulltext
P. 142

137


               โดยสรุปเหตุการณ์อย่างกระชับได้ว่า เป็นการเปิดเผยกรณีข้าราชการระดับสูงลักลอบขึ้นเฮลิคอปเตอร์ล่าสัตว์ใน

               เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จนน ามาสู่การประท้วงที่น าโดยนักศึกษารามค าแหงและมีผู้ชุมนุมเข้าร่วมจนกระทั่งกดดัน
               รัฐบาลประสบความส าเร็จ แล้วความส าเร็จดังกล่าวก็น ามาสู่กระแสเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญ
                       กระแสการเรียกร้องรัฐธรรมนูญได้ลุกลามไปเป็นเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เริ่มต้นรณรงค์

               จากวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และถูกตอบโต้จากรัฐบาลด้วยอ านาจรัฐสั่งจับกุมนักศึกษาในเวลาต่อมา ท าให้นัก
               กิจกรรมจากองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ระดมนักศึกษาที่ก าลังมาเข้าสอบมามาร่วมฟัง

               ปราศรัยจนในที่สุดมีผู้เข้าร่วมทั้งในมหาวิทยาลัยและภายนอกเข้าร่วมในลักหมื่น จนในที่สุดข้อเรียกร้องถูกผลักดัน
               เป็นการคืนอิสรภาพให้ผู้ต้องหาทางการเมือง การมีรัฐธรรมนูญใหม่ รวมถึงการขับไล่ 3 ทรราชแห่งรัฐบาลถนอม

               ด้วย เหตุการณ์ฝั่ง กรรมการ ศนท. ที่เจรจากับประภาสได้บรรลุข้อตกลงปล่อยตัวผู้ต้องหาทางการเมืองทั้งหมด
               และสัญญาประกาศรัฐธรรมนูญภายใน 1 ปี ขณะที่ฝั่งมวลชนเผชิญกับการปะทะรุนแรงกับต ารวจที่ปิดกั้นทาง จน

               ขยายลุกลามจนใกล้เคียงกับสงครามกลางเมือง จุดยุติส าหรับเหตุการณ์นี้จึงเป็นการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร
               มหาภูมิพลอดุลยเดชทรงแต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และขอให้ทุกฝ่ายระงับความ
               รุนแรง จนกระทั่งเกิดการเดินทางออกนอกประเทศของถนอม ประภาส และณรงค์ จึงส่งผลให้เหตุการณ์ความ

               รุนแรงสงบลง (บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, 2563: 125; ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 354-359) นอกจากนั้น จากเหตุการณ์
               นี้ ภูริ ฟูวงศ์เจริญ (2563) เสนอว่า ส่วนหนึ่งเป็นการฉวยโอกาสของนายทหาร-ต ารวจ น าโดยพลตรีวิฑูรย์ ยะสวัสดิ์

               พลเอกกฤษณ์ สีวะรา และพลต ารวจโท ประจวบ เพื่อโค่นเครือข่ายของกิตติขจรและจารุเสถียร ดังนั้นแล้ว
               เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในด้านความสัมพันธ์เชิงอ านาจ อาจกล่าวได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ของคณะปฏิวัติ

               แต่เพียงฝ่ายเดียว ขณะที่อ านาจในระบบราชการที่ยังเหลืออยู่กลับครองอ านาจและเติมเต็มอ านาจทางการเมือง
               ของตัวเอง

                       เมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญได้เริ่มขึ้นภายใต้บริบทส าคัญ
               จากพระราชอ านาจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 2 ประการส าคัญ ได้แก่ ประการแรกคือ
               การแต่งตั้งสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกกันว่า “นายกรัฐมนตรีพระราชทาน” อย่างไรก็ตาม แม้ว่า

               สัญญาจะประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคส าคัญที่ตกค้างจากรัฐบาล
               ถนอมก็คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะปฏิวัติ ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้กลายมาเป็น

               ความเสี่ยงที่จะต่อต้านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ให้ถูกประกาศใช้ เพราะฉะนั้นทางออกที่ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้นจึง
               เป็นไปตามประการที่สองก็คือ พระราชอ านาจแต่งตั้งสมัชชาแห่งชาติ จ านวน 2,347 คนจากหลากกลุ่มอาชีพ เพื่อ

               ท าหน้าที่คัดสรรกันเองให้ได้จ านวน 299 คนที่จะมาด ารงต าแหน่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก่อนที่สภาชุดใหม่นี้จะ
               รับหน้าที่พิจารณาและผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้รัฐบาลของสัญญาได้ส าเร็จ

                       ทั้งนี้อีกบทบาทหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามความส าคัญได้ก็คือ “กรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ” อุปสรรค
               ภายในการท างานของกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่มีต่อการพิจารณารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 โดยแบ่ง

               ออกเป็น 2 ประการส าคัญ ได้แก่ ประการแรก รัฐบาลของสัญญาได้เสนอตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 35 คน เพื่อท า
               หน้าที่รับฟังความคิดเห็นและปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีไพโรจน์ ชัยนาม เป็นประธานกรรมาธิการ และมีป๋วย

               อึ๊งภากรณ์ เป็นกรรมาธิการ โดยป๋วยได้เป็นเสียงส าคัญในใช้พื้นที่กรรมาธิการการเพื่อผลักดัน 3 ประเด็นที่มี
   137   138   139   140   141   142   143   144   145   146   147