Page 141 - 23154_Fulltext
P. 141

136


               คน ขณะที่ช่วง พ.ศ. 2508-2511 หรือก่อนที่จะมีรัฐธรมนูญ พ.ศ. 2511 นั้น พบว่ามีผู้ได้รับความเสียหายจาก

               มาตรา 17 เพียง 47 คน (เปรมชัย พริ้งศุลกะ, ม.ป.ป.: 1; ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 342) ด้านที่สอง นักการเมืองที่
               เพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยแรกหลังจากมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 ได้รับผลกระทบ และเกิดความไม่พอใจจากกรณี
               จากการรัฐประหารยึดอ านาจตัวเองของถนอม ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงระบบรัฐสภาให้กลายเป็นสภานิติบัญญัติให้มา

               จากการแต่งตั้งโดยการชี้น าของคณะปฏิวัติ นักการเมืองที่ออกมาต่อต้าน ได้แก่ อุทัย พิมพ์ใจชน อนันต์ ภักดิ์
               ประไพ และบุญเกิด หิรัญค า ได้ออกมายื่นฟ้องถนอมและคณะปฏิวัติ แต่กลับถูกตอบโต้จากคณะปฏิวัติด้วยการ

               จับกุมในผู้ต้องหาคดีความมั่นคง (ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 343) อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านที่สาม ปัญหาภายในกลุ่ม
               ผู้มีอ านาจ เนื่องจากแกนน าคณะปฏิวัติแต่ละคนต่างคุมหน่วยงานราชการของตนเอง และมีการแลกเปลี่ยน

               ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมืองกันระหว่างฝ่ายการเมือง หน่วยงานราชการ และบริษัทเอกชน เช่น จอมพล
               ประภาส จารุเสถียร ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้

               บัญชาการกองทัพบก และส่งครอบครัวจารุเสถียรไปรับต าแหน่งกรรมการบริษัทเอกชนไม่ต่ ากว่า 40 แห่ง ด้วย
               เครือข่ายดังกล่าวน ามาซึ่งการเชื่อมสัมพันธ์ทางอ านาจกับกองทัพ ผู้ว่าราชการ ข้าราชการพลเรือน ภาคเอกชนอีก
               จ านวนมาก ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ตั้งองค์กร “ส านักงานคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการ”

               (ก.ต.ป.) ขึ้นมาโดยให้พันเอกณรงค์ กิตติขจร บุตรของถนอมมาด ารงต าแหน่งรองเลขาธิการขององค์การ และถูก
               น ามาใช้ประโยชน์เพื่อการข้าราชการและนักธุรกิจที่อยู่นอกเครือข่ายของตระกูลกิตติขจรและจารุเสถียร (บุญชัย

               ใจเย็น, 2525: 84-88; ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 344-345)
                       อย่างไรก็ตาม ปัญหาความชอบธรรมทั้ง 3 ในข้างต้นอาจเป็นปัจจัยที่สั่งสมแรงต่อต้านทางสังคมต่อรัฐบาล

               หากแต่ไม่ได้ส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพของโครงสร้างทางการเมืองที่ธรรมนูญ พ.ศ. 2515 ก าหนดไว้ ไม่ว่าจะ
               นายกรัฐมนตรีที่ครองอ านาจเบ็ดเสร็จ หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่แต่งตั้งโดยคณะปฏิวัติ ทว่ากลับเป็นอีก 2

               ประการที่ส่งผลให้เกิดการถอดถอนรัฐบาลถนอมในเวลาต่อมา ได้แก่ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจโลก
               เข้าสู่สภาวะถดถอย อเมริกาลดความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศไทย สินค้าปรับราคาขึ้นสูง สินค้าอุปโภค
               บริโภคขาดตลาด จนในที่สุดรัฐบาลขาดความชอบธรรมในการอ้างเรื่องการรักษาอ านาจเพื่อ พัฒนาเศรษฐกิจ

                       ส่วนปัจจัยที่สอง คือ ความตื่นตัวทางการเมืองของเยาวชนนักศึกษา หลังจากที่ทศวรรษ 2500 สังคมถูก
               ปิดกั้นความคิดมาเนิ่นนาน ประกอบกับวัฒนธรรมวัตถุนิยมอเมริกันก าลังเป็นที่แพร่หลาย จนท าให้เกิดข้อวิจารณ์

               ว่าเป็น “ยุคสายลมแสงแดด” ของนิสิตนักศึกษาที่ไร้แก่นสารและมีทัศนะแบบอภิสิทธิ์ชน จนกระทั่งมี 2 ปัจจัย
               ส าคัญที่ท าให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสู่ “ยุคแสวงหา” ได้แก่ ปัจจัยด้านการตีพิมพ์หนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์โดยกลุ่ม

               กิจกรรมอิสระ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตั้งค าถามและสร้างสรรค์ทางความคิดของนักศึกษา ตลอดจนความตื่นตัวจาก
               การอ่านของนักศึกษาน ามาสู่การประสานความร่วมมือระหว่างนักศึกษาต่างสถาบันจนท าให้เกิด “ศูนย์กลางนิสิต

               นักศึกษาแห่งประเทศไทย” (ศนท.) ในช่วงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 และเมื่อเข้าสู่ปลาย พ.ศ. 2515 ธีรยุทธ บุญมี
               เลขาธิการ ศนท. ได้ผลักดันประเด็นการเมืองส าคัญในห้วงเวลานั้น อาทิ การรณรงค์คว่ าบาตรสินค้าญี่ปุ่น หรือการ
               ชุมนุมคัดค้านประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 299 ที่เปิดโอกาสให้รัฐบาลใช้อ านาจแทรกแซงการแต่งตั้งผู้พิพากษา เป็น

               ต้น ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นล้วนประสบความส าเร็จในการสร้างฐานสนับสนุนจากมวลชน (วิทยากร เชียงกูล, 2527: 449;
               ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 348-350) อันจะสัมพันธ์กับปัจจัยข้อถัดไป โดยปัจจัยที่สองคือ เหตุการณ์ทุ่งใหญ่นเรศวร
   136   137   138   139   140   141   142   143   144   145   146