Page 138 - 23154_Fulltext
P. 138
133
ความสัมพันธ์เชิงอ านาจต่อกันอย่างไร ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2515 จะสามารถตั้ง
ข้อสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงต่อความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่สัมพันธ์กับระบบรัฐสภา 3 ประการด้วยกัน ดังนี้
ประการแรก ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่สะท้อนถึงอ านาจที่ลดลงของฝ่ายนิติบัญญัติจนอยู่ภายใต้การ
ควบคุมของฝ่ายปกครอง ระบบรัฐสภาจากการเลือกตั้งถูกน าออกจากธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2515 โดยสิ้นเชิง
และถูกแทนที่ด้วยสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งมีที่มาและอ านาจตามมาตรา 6 ดังบัญญัติว่า
“มาตรา 6 ให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติประกอบด้วยสมาชิกจ านวน 299 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์
ทรงแต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยก าเนิด และมีอายุไม่ต่ ากว่า 35 ปีบริบูรณ์
สมาชิกภาพของสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีวาระคราวละ 3 ปีนับตั้งแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรง
แต่งตั้ง”
เช่นนี้แล้วจึงสังเกตได้ว่า คณะปฏิวัติได้ขจัดนักการเมืองจากการเลือกตั้งออกไปจากฝ่ายนิติบัญญัติ และ
เปลี่ยนเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ประกอบด้วยตัวแทนจากการแต่งตั้งที่คณะปฏิวัติในฐานะฝ่ายบริหารสามารถ
ควบคุมทิศทางการลงมติได้เบ็ดเสร็จ เนื่องจากรัฐบาลถนอมหลังจากที่ชนะเลือกตั้งภายใต้การสืบทอดอ านาจผ่าน
พรรคสหประชาไทย ทว่าการที่จะคงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางท างานของระบบรัฐสภาที่สมาชิกสภาผู้แทนมาจากการ
เลือกตั้งนั้นก็จ าเป็นต้องต่อรองผลประโยชน์กับผู้แทนเหล่านั้นโดยเฉพาะฝ่ายที่ยอมเข้าร่วมกับพรรคสหประชาไทย
ช่องว่างของการต่อรองผลประโยชน์สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่ามีอย่างน้อย 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ส่วนแรก ระบบ
เลือกตั้งท าให้ผู้แทนที่จะเข้ามาท างานในสภามีความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง และในเมื่อแหล่งที่มาของอ านาจมา
จากการเลือกตั้งโดยประชาชน ผู้แทนก็ไม่จ าเป็นต้องอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ที่คณะปฏิวัติเป็นผู้ชี้น า หากแต่เป็น
การต่อรองทางการเมืองระหว่างตัวแสดงทางการเมืองที่มีอ านาจเท่าเทียมกันและแลกเปลี่ยนกันด้วยผลประโยชน์
ทางเศรษฐกิจหรือการเมืองแทน และส่วนที่สอง ระบบรัฐสภาที่เปิดโอกาสให้มีการต่อรองภายในผู้แทนฝ่ายนิติ
บัญญัติเพื่อคานอ านาจกับคณะรัฐมนตรี เมื่อเป็นเช่นนี้อ านาจของคณะปฏิวัติที่ด าเนินผ่านคณะรัฐมนตรีจึงไม่ได้
เป็นอ านาจเบ็ดเสร็จเช่นเดียวกับช่วงที่ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 บังคับใช้
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงสังเกตได้ว่าธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2515 ที่บัญญัติขึ้นในสมัยรัฐบาลถนอมหลังปฏิวัติ
ตัวเอง จึงเป็นการแก้ไขจุดอ่อนที่คณะปฏิวัติไม่สามารถคุมอ านาจได้เบ็ดเสร็จด้วยการรับมือในสองส่วนข้างต้นที่
เปิดช่องให้สภาผู้แทนต่อรองผลประโยชน์กับคณะปฏิวัติได้ผ่านระบบรัฐสภา ในส่วนแรกที่ผู้แทนมาจากการ
เลือกตั้งและมีอิสระในการต่อรองย้ายขั้วอ านาจนั้นรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับให้ได้แก้ไขผ่านมาตรา 6 ดังอธิบาย
ในข้างต้นเพื่อจ ากัดให้ที่มาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติมาจากการแต่งตั้งเท่านั้น เมื่อที่มาของฝ่ายนิติบัญญัติถูกยึด
โยงเข้ากับการก ากับภายใต้คณะปฏิวัติ ตลาดการเมืองที่จะเกิดขึ้นภายใต้ธรรมนูญฉบับใหม่นี้จึงเป็นตลาดผูกขาด
โดยสมบูรณ์ที่ถนอมในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติผูกขาดการคัดสรรสมาชิกที่พร้อมรับฟังค าสั่งผู้น า ขณะที่ส่วนที่สอง
การต่อรองของสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติในระบบรัฐสภาได้ถูกจ ากัดในธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2515 อันดับแรก
สังเกตได้จากอ านาจการเสนอร่างพระราชบัญญัติการเงิน ที่ถูกจ ากัดให้มีเพียงคณะรัฐมนตรีเท่านั้นที่เสนอได้ดัง
บัญญัติมาตรา 9 เช่นเดียวกับการจ ากัดอ านาจในมาตรา 10 ให้มีเพียงคณะรัฐมนตรีเท่านั้นที่สามารถเสนอร่าง
รัฐธรรมนูญได้ กรณีที่หากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่ได้แสดงความเห็นชอบ ตามมาตรา 11 ให้คณะรัฐมนตรี
เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสนอต่อสภานิติบัญญัติภายใน 90 วัน