Page 133 - 23154_Fulltext
P. 133

128


               ตามมาตรา 12 ก าหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอ านาจแต่งตั้งประธานองคมนตรี หากประธานองคมนตรี

               ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่เพราะอยู่ในระหว่างท าหน้าที่ผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงที่ไม่ได้ตั้งผู้ส าเร็จราชการ
               แทนพระองค์ไว้ล่วงหน้า กรณีนี้จึงต้องมีประธานองคมนตรีชั่วคราวท าหน้าที่รักษาการไปพลางก่อน โดยที่มาของ
               ประธานองคมนตรีชั่วคราวตามกรณีข้างต้นจะก าหนดให้มาจากการเลือกขององคมนตรี ซึ่งอ านาจของคณะ

               องคมนตรีในการเลือกประธานองคมนตรีตามเหตุข้างต้นจึงถูกน ามาเป็นข้อถกเถียงว่าละเมิดหลัก “พระราช
               อัธยาศัย” โดยมีข้อถกเถียงต่างมุม จากฝ่ายที่คัดค้านอ านาจเลือกประธานองคมนตรีของคณะองคมนตรีมีข้อโต้แย้ง

               จากเหตุที่ประธานองคมนตรีจะมีบทบาทรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งหรือถอดถอนองคมนตรีได้ ดัง
               ตัวอย่างเช่น นายสมภพ โหตระกิตย์ และหลวงประกอบนิติสาร อธิบายสอดคล้องกันในแนวทางว่า มาตรา 20

               วรรค 4 เป็นบทบัญญัติให้เลือกประธานองคมนตรีที่รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งองคมนตรี ไม่ใช่ประธาน
               ในที่ประชุมขององคมนตรีที่มีเพียงหน้าที่ก ากับการประชุม หากคณะองคมนตรีเลือกประธานองคมนตรีเองได้โดย

               ไม่ต้องค านึงถึงพระมหากษัตริย์ ก็ถือว่าเป็นการขัดต่อมาตรา 12 หรือพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์
               ประพันธ์ที่ได้เสนอผ่านมุมของวัฒนธรรมการเมืองเป็นต้น ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนวรรค 4 ของมาตรา 20 นั้นมองที่
               ประเด็นความชั่วคราวของการรักษาการต าแหน่งประธานองคมตรี ตัวอย่างเช่น พลโทไสว ดวงมณี เสนอว่า อ านาจ

               เลือกประธานองคมนตรีของคณะองคมนตรีไม่ได้ขัดต่อมาตรา 12 เนื่องจากเป็นการเลือกเพื่อแต่งตั้งชั่วคราว
               ระยะเวลาหนึ่ง ต่างจากพระราชอ านาจแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ที่เป็นการแต่งตั้งถาวร เป็นต้น (สมชาย ปรีชา

               ศิลปกุล, 2561: 238-243) อย่างไรก็ตาม ผลของข้อถกเถียงในประเด็นพระราชอัธยาศัยแม้จะสรุปด้วยการที่คณะ
               องคมนตรีเลือกประธานองคมนตรีเป็นการชั่วคราวได้ แต่ก็น ามาสู่การก่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมในลักษณะ
               ที่ถือว่าเป็นหลักการที่ต้องยอมรับโดยทั่วไปว่า พระราชอ านาจของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐมีความ

               ศักดิ์สิทธิ์และเด็ดขาด สะท้อนผ่านกรณีการถกเถียงเรื่องแต่งตั้งองคมนตรีและประธานองคมนตรีโดยถือเป็นพระ
               ราชอ านาจที่สามารถจ ากัดข้อเสนอหรือการกระท าทางการเมือใดก็ตามที่ขัดต่อพระราชอัธยาศัย เว้นแต่เป็นการ

               ชั่วคราว
                       โดยสรุปแล้ว บริบทของในส่วนของตัวบทรัฐธรรมนูญ นอกจากจะมีอิทธิพลจากการครอบง าการเมืองของ

               กองทัพสืบต่อกันระหว่างคณะรัฐประหารของสฤษดิ์มายังรัฐบาลถนอม อันสะท้อนความคิดทางการเมืองแบบ
               กองทัพที่นิยมความมั่นคงเหนือประชาธิปไตยที่ให้ความส าคัญกับการที่ตัวแทนของประชาชนที่มีมาจากการเลือกตั้ง

               ได้มีอ านาจ และให้ความส าคัญกับมีเสรีภาพทางการเมือง ก็กล่าวได้เช่นกันว่าสังเกตได้ชัดเจนถึงความพยายามใน
               การหวนคืนสู่การถวายคืนพระราชอ านาจโดยอิงกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 รวมถึงการขยาย

               อ านาจของวุฒิสภาที่มาจากพระราชอ านาจแต่งตั้งให้เป็นกลไกส าคัญในระบบรัฐสภา



                       โครงสร้างและอ านาจหน้าที่ของรัฐสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

                       รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 สามารถสังเกตได้ว่าเป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492
               ตั้งแต่การยอมรับชื่อเรียกระบอบการเมืองของไทยว่าเป็น “ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”

               ในมาตราที่ 2 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในขณะที่การบัญญัติศัพท์เรียกสภาผู้แทนราษฎรถูกเปลี่ยนกลับมาใช้เป็นค า
   128   129   130   131   132   133   134   135   136   137   138