Page 137 - 23154_Fulltext
P. 137

132


               ค่ายคอมมิวนิสต์ ประการที่สอง พรรคคอมมิวสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ขยายอิทธิพลในเขตชนบทอย่างต่อเนื่อง

               โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีการประเมินว่ามาตรการปราบปรามแบบเหวี่ยงแหของเจ้าหน้าที่รัฐ
               เองที่เป็นปัจจัยให้ชาวบ้านแอบช่วยเหลือหรือจนกระทั่งร่วมมือกับ พคท. ส่งผลให้กองทัพยิ่งเร่งการปราบปราม
               แบบเต็มรูปแบบตั้งแต่ พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา ทั้งนี้ปัจจัยส าคัญที่สุดคือ ประการที่สาม ความไร้ซึ่งวินัยพรรคภายใน

               พรรคสหประชาไทย เนื่องจากสมาชิกพรรคถูกดึงตัวมาเพื่อผลประโยชน์จึงขาดความภักดีต่อพรรค กลับกัน พรรค
               ต้องคอยมอบผลประโยชน์ไม่ว่าจะตัวเงินงบประมาณ สิ่งตอบแทน หรือข้อเรียกร้องทางการเมือง เพื่อเป็นสิ่งจูงใจ

               สมาชิกพรรคในการควบคุมพฤติกรรมให้คล้อยไปกับความต้องการของกองทัพอยู่เสมอ ซึ่งจุดตัดสินก็คือ การ
               แตกหักระหว่างกองทัพกับนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่เรียกร้องมากในระดับที่ขอให้ไล่รัฐมนตรีบางคน และลงมติ

               ไม่ให้ผ่าน พรบ. งบประมาณประจ าปี ประกอบกับอีกมิติส าคัญในทัศนะของภูริคือ ความขัดแย้งระหว่างข้าราชการ
               ที่ขยายฐานอ านาจจนเติบโตเป็นรัฐราชการ (Bureaucratic polity) ไม่ยินยอมรับค าสั่งของฝ่ายนิติบัญญัติ จน

               น ามาสู่การตัดสินรัฐประหารยึดอ านาจตัวเองของถนอม ด้วยข้ออ้างในประเด็นภัยคอมมิวนิสต์ และสถานการณ์ตึง
               เครียดของการเมืองระหว่างประเทศ (ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 338-339)


                       ด้วยบริบทของความขัดแย้งในข้างต้น ทั้งระหว่างกองทัพกับนักการเมือง และรัฐราชการกับนักการเมือง

               ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดจุดแตกหักปรากฎเป็นการรัฐประหารตัวเองของถนอมในช่วงปลายปี พ.ศ. 2514 ซึ่งส่งผล
               กระทบกับระบบรัฐสภาอย่างสาหัสที่สุดอย่างน้อยใน 2 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นแรก คณะรัฐมนตรีถูกแทนที่ด้วย
               “กองบัญชาการคณะปฏิวัติ” ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น “สภาบริหารคณะปฏิวัติ” ในการท าหน้าที่บริหารราชการ

               แผ่นดิน และประเด็นที่สอง คณะปฏิวัติสามารถใช้อ านาจนิติบัญญัติและอ านาจบริหารในการควบคุมกฎหมายได้
               ผ่านการออก “ประกาศคณะปฏิวัติ” ซึ่งเป็นเครื่องมือส าคัญอาญาสิทธิ์ทางนิติบัญญัติที่คณะปฏิวัติให้การสนับสนุน

               แก่ข้าราชการที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถท างานร่วมกับนักการเมืองได้โดยสนิทใจ (ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 341)
               สถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองด าเนินอย่างต่อเนื่องภายใต้สภาวะที่ประกาศคณะปฏิวัติมีอ านาจสูงสุดทาง
               กฎหมาย จนแม้กระทั่งคณะปฏิวัติมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2515 หลังจากมีช่องว่างจากการ

               ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาปีกว่า ทว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็เป็นเพียงการน าธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 กลับมา
               ปรับแก้เล็กน้อย โดยที่ระบบการปกครองกลายเป็นเผด็จการ ตั้งแต่การมีฝ่ายนิติบัญญัติมีที่มาจากการแต่งตั้งทั้งชุด

               นายกรัฐมนตรีไร้ข้อจ ากัดวาระและระยะเวลาด ารงต าแหน่ง อีกทั้งยังมีการน ามาตรา 17 ซึ่งเป็นอ านาจสัมบูรณ์ของ
               ผู้ปกครองกลับมาใช้อีกครั้ง (ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 2563: 343)


                       โครงสร้างอ านาจหน้าที่ของรัฐสภา

                       ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 ได้ถูกก าหนดเจตนารมณ์รื้อฟื้นอ านาจเผด็จการฝ่าย

               บริหารกลับมาไว้โดยให้เหตุผลอ้างในค าปรารภของรัฐธรรมนูญ ถนอมได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2511 และ
               แทนที่ด้วยธรรมนูญการปกครองชั่วคราวที่เหมาะสมกับการแก้ไขสถานการณ์ภยันตรายต่อชาติ สถาบันกษัตริย์
               และประชาชน ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะถูกร่างขึ้นใหม่โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ค าถามที่ตามมาคือ แล้ว

               ความเปลี่ยนแปลงของสถาบันการเมืองที่ใช้อ านาจอธิปไตยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และสถาบันเหล่านั้นมี
   132   133   134   135   136   137   138   139   140   141   142